วันเสาร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2554

10 เคล็ดลับพิชิตสูตรคำนวณ

1. ปิดคอมพิวเตอร์ ปิดทีวี เพลง หรือสิ่งเร้าที่เราคิดว่า เราอ่านหนังสือนานไม่ได้แน่ๆ ไม่มีสมาธิแน่ๆ ให้ปิดไปเลย หรือนำมันไปไกลๆเลย

2. ห้ามนั่งอ่านหนังสือ หรือนอนอ่านหนังสือบนเตียงเด็ดขาดดดด!! เพราะรับรองได้เลยว่า คุณอ่านไปไม่ถึง 2 ชั่วโมง หนังตาของเราอาจจะเริ่มปิดก็เป็นได้

3. เตรียมหนังสือพวกที่เป็นตะลุยโจทย์ ,หนังสือเรียน ,หนังสือคู่มือที่มีเนื้อหาบทเรียน ,หนังสือสรุปสูตรในแต่ละบท

4. ขอสมุดคู่ใจ ที่เราคิดว่าชอบเล่มนี้ อยากเขียนลงไป อยากพกติดตัว จะมีเส้นหรือไม่มีเส้นก็ได้ตามความถนัดของแต่ละคนเลย

5. เตรียมปากกาสี,ปากกาเน้น ไว้ข้างๆ กายเลย เพื่อช่วยในการจดจำ น่าอ่านอีกด้วย
6. เมื่อเตรียมอุปกรณ์ ครบพร้อมหมดแล้ว ขอให้คุณหลับตานั่งนิ่งๆ สัก 3-5 นาที หรือจะเปิดเพลงบรรเลงเบาๆ หรือเพลงโมสาร์ท หลับตานั่งฟังสัก 1 เพลงจบก็ได้

7. เปิดหนังสือเรียน หรือหนังสือคู่มือ ที่มีเนื้อหาของบทเรียนที่เราจะอ่าน แล้วเริ่มจดสูตร หรือข้อความสรุป ข้อความสำคัญเขียนแบบสั้นๆ และสรุปอย่างได้ใจความ ลงไปในสมุดเล่มโปรด แล้วสามารถนำปากกาสีมาเขียนมิกส์กันให้น่าอ่านได้ด้วย ข้อความไหนสำคัญก็ให้ใช้ปากกาเน้นไว้เลยย

สำหรับบางคนที่ไม่ชอบอ่านแล้วต้องมานั่งสรุปในสมุด ก็สามารถใช้ปากกาสีขีดใต้ข้อความสำคัญ หรือใช้ปากกาเน้นข้อความลงไปในหนังสือคู่มือหรือหนังสือเรียนเลยก็ได้

8.เมื่อได้เนื้อหาสาระสำคัญๆ รวมถึงสูตรต่างๆแล้ว ก็ขอให้ลองนั่งท่องจำสักพักนึง จนคิดว่าน่าจะจำได้แล้ว และลองปิดหนังสือ ปิดสมุด เขียนสูตรที่เราจำได้,ข้อความหรือทฤษฎีที่เราท่องไว้นั้น มาเขียนในเศษกระดาษดูหลังจากนั้นตรวจทานและเช็คดูในหนังสือว่า ตรงกันกับที่เราเขียนไหม สูตรครบหรือเปล่า ทฤษฎีแม่นจริงไหม

9. เมื่อเราจำสูตร ทฤษฎี ข้อความที่เราสรุปได้แล้ว ก็นำหนังสือตะลุยโจทย์มานั่งทำโจทย์ไปเลย หากลืมสูตรก็เปิดดูสูตรนั้นอีกครั้ง และทำโจทย์ที่ใช้สูตรนั้นหลายๆ ข้อ มันจะทำให้เราสามารถจำสูตรได้เองอัตโนมัติ บางทีโจทย์แต่ละข้อนั้น ก็จะมีการพลิกแพลงสูตรด้วย เพราะฉะนั้นต้องฝึกทำโจทย์หลายๆ แนว หลายๆ ข้อ ย้ำ!! สูตรและทฤษฎีต้องจำและแม่นจริงๆด้วยนะ

10. เมื่อตะลุยฝึกโจทย์ไปแล้วจนเราเริ่มจำสูตรได้จริงๆ เริ่มรู้แนวโจทย์ของแต่ละบทแต่ละสูตรแล้วขอให้คุณลองเขียนทฤษฎี สูตรทั้งหมด ข้อความที่สำคัญๆ ลงในกระดาษว่างๆ 1 แผ่น เขียนเท่าที่จำได้
"แล้วลองคิดสิว่า ที่เราจำได้เท่านี้ จะดีพอไปสู่การสอบได้แล้วหรือยัง"

หากยัง ขอให้อ่านหนังสือ และตะลุยโจทย์เป็นเรื่องๆ ต่อไป เพราะยังไงถึงแม้เราทำแล้วผลออกมาเราอาจจะสอบตก แต่เราอย่าได้เสียใจ เพราะอย่างน้อยเราได้เต็มที่กับสิ่งที่เราทำไปแล้ว และอย่าท้อแท้ สิ้นหวังได้ง่ายๆ เพราะยังไงคนที่จะประสบความสำเร็จได้ คงไม่พ้นความพยายาม


อ่านต่อ : http://www.dek-d.com/content/education/18108/10-เคล็ดลับพิชิตสูตรคำนวณ.php#ixzz1CccV67Xe

3 ช่วงเวลาอ่านหนังสือ ชนะเลิศชัวร์


ช่วงแรก ช่วงก่อนเปิดเทอมหรือช่วงปิดเทอม

เป็นเวลาแห่งการช่วงชิงความรู้ที่ดีที่สุด หยิบหนังสือเรียนออกมาทั้งหมด วางไว้มุมหนึ่งของโต๊ะ เปิดอ่านวันละนิดละหน่อย ทำความเข้าใจ แม้จะงงๆ อยู่ แต่ก็ไม่เป็นไร แค่ได้อ่านก็พอแล้ว

ช่วงที่สอง ช่วงก่อนไปโรงเรียนหรือช่วงก่อนเวลาเรียน

ลองตื่นเช้ากว่าปกติสักครึ่งชั่วโมงเพื่อมาอ่านบทเรียนที่ต้องเรียนในวันนี้ สักยี่สิบนาทีก็พอ อีกสิบนาทีทำตัวขี้เกียจเพื่อให้สมองได้พักผ่อน(ชอบจัง) แบบว่าอ่านแบบชิวๆ สบายๆ ไม่ต้องเคร่งเครียด หรืออาจจะอ่านก่อนเวลาชั่วโมงเรียน แต่ไม่อยากจะแนะนำสักเท่าไหร่สำหรับคนที่เรียนชั่วโมงต่อชั่วโมง สำหรับคนที่เรียนแบบชั่วโมงนี้เรียน ชั่วโมงนี้ว่าง เหมือนโรงเรียนของต่างประเทศที่เข้าเรียนเป็นวิชาๆ หรือระดับมหาวิทยาลัยใช้ได้ค่ะ แต่อย่าเครียดจนเกินไป แค่อ่านให้รับรู้ว่าเราอ่านมาแล้วก็พอ

ช่วงที่สาม ช่วงเย็นหลังเลิกเรียน

อันนี้รู้สึกจะไม่ได้จัดอยู่ในหมวดทำความเข้าใจก่อนเข้าเรียน (อิอิ) แต่ถือว่าจำเป็นมากโข เพราะเป็นการทบทวนไม่ให้เราลืมสิ่งที่เพิ่งเรียนไป อ่านแค่พอระลึกชาติก็พอ อย่าเครียดเด็ดขาดเลย


อ่านต่อ : http://www.dek-d.com/content/education/18461/3-ช่วงเวลาอ่านหนังสือ-ชนะเลิศชัวร์.php#ixzz1CcbCiV9C

ว้าว "สมการคณิตศาสตร์" บอกรักได้ด้วย..

สำหรับเรื่องเรียนๆ จะไปเกี่ยวกับเรื่องรักๆได้ยังไง พี่แนนก็หามาให้เกี่ยวจนได้ค่ะ อย่างวันนี้ พี่แนนมีวิธีบอกรักแบบแนวๆ แต่เป็นแนววิชาการนิดๆ ค่ะ ด้วยการบอกรักแบบ "คณิตศาสตร์" โห แค่ได้ยินก็ยากแล้ว แต่วิธีนี้เหมาะสำหรับเนียนๆ ค่ะ แบบว่า แอบปิ๊งเด็กเรียน เด็กเนิร์ด ที่เผอิญเข้าตา ก็แบบไปขอให้สอนการบ้านข้อนี้หน่อย ประมาณนี้เลยค่ะ เริ่มสนใจกันแล้วใช่ไหมเอ่ย??

การบอกรักแบบคณิตศาสตร์ คือการบอกรักด้วย "สมการ" ค่ะ ซึ่งมีหลายสมการเลยหล่ะ เอ...แล้วมันจะบอกรักได้ยังไง มาดูตัวอย่างแรกกันคะ

โจทย์ สมการนี้คือ




กราฟนี้หวานสุดๆนะคะ แต่ไม่ได้มีแค่สมการเดียวนะคะ ยังมีอีกหลายแบบให้ชาวเด็กดีนำไปใช้กันด้วย ตามนี้เลยค่ะ


ชาวเด็กดีได้ดูแล้ว นำไปลองใช้กันได้นะคะ แบบว่ายื่นสมการไปให้คนที่เราหมายตาเลย อาจจะใช้เวลานาน ก็เให้เค้าใช้ความพยายามกับเรานะคะ เวลาเค้าเห็นสมการนี้ ก็จะคิดถึงแต่เราตลอดๆ (ฮ่าๆ) หรือถ้าใจร้อน ก็แอบเอาเฉลยไปให้เค้าดูก็ได้ .....เป็นการบอกรักอีกแนว ที่แฝงด้วยความรู้นะคะเนี่ย อิอิ ขอให้มีความสุขกันทุกคนนะคะ โย่ว !!!

อ่านต่อ : http://www.dek-d.com/content/education/19079/ว้าว-สมการคณิตศาสตร์-บอกรักได้ด้วย...php#ixzz1CcZJau6G

พี่ครับ ผมไม่ใช่ปลา!!!


สัตว์พวกนี้ถ้าดูในแบบชีววิทยา ก็จะจัดเจ้าพวกนี้อยู่อาณาจักรสัตว์ (Kingdom Animalia) ค่ะ ซึ่งจะมีการจำแนกเป็นไฟลั่มไปอีก โดยใช้ลักษณะสำคัญ คือ จำนวนชั้นของเนื้อเยื่อ ช่องภายในตัว ปล้องขา ลำตัว ชนิดของท่อทางเดินอาหาร สมมาตร (symmetry) ของลำตัว ชนิดของระบบไหลเวียน และการพัฒนาของระบบอื่นๆ ซึ่งมี 10 ไฟลั่มด้วยกัน เมื่อแยกจัดเจ้าพวกนี้อยู่ในไฟลั่มต่างๆแล้ว จะรู้เลยค่ะ ว่าต่างจากปลา เช่น

- วาฬ โลมา 3 ชนิดนี้จะจัดอยู่ในไฟลั่มเดียวกันค่ะ คือ ไฟลัมคอร์ดาตา (Phylum Chordata) ซึ่งบรรพบุรุษเป็นสัตว์บกที่วิวิฒนาการลงน้ำ รูปร่างภายนอกคล้ายปลา ก็เลยโดนเรียกปลาซะหมด

- ดาว จัดอยู่ในไฟลัมอีคิโนเดอร์มาตา (Phylum Echinodermata) เป็นสัตว์ทะเลทั้งหมดค่ะ พอตัวเต็มวัยตัวจะมีขนาดสมมาตรรัศมี ตัดแบ่งครึ่งได้เท่ากันเป๊ะ มีระบบน้ำใช้ในการเคลื่อนที่ มีระบบไหลเวียน ระบบประสาท และระบบท่อทางเดินอาหาร จำแนกเป็นห้าชั้น พวกเดียวกันในไฟลั่มนี้ก็พวก เม่นทะเล ปลิงทะเล

- หมึก จัดอยู่ในไฟลัมมอลลัสกา (Phylum Mollusca) เป็นจำพวกเดียวกับหอยค่ะ คือมีลำตัวนิ่ม แต่เสียเปรียบสุด หอยยังมีเปลือกแข็งอ่ะ หมึกก็มีนะคะ แต่ดั๊นไปอยู่ข้างใน แค่จับขึ้นมาโดนแดดก็ตายแล้ว..

แต่เราก็เรียกปลา 5 อย่างนี้ว่าปลามาตลอดนะคะ เห็นอยู่ในน้ำ บางตัวก็รูปร่างก็เป็นปลา บางตัวก็เห็นเค้าเรียกกันมาตั้งแต่เด็ก แต่ถ้าได้เรียนวิชาชีววิทยาแล้วละก็ ก็จะได้รู้จักเจ้าพวกนี้มากขึ้น เหมือนเราได้เรียนรู้อะไรมากขึ้น สิ่งที่เราได้ยินได้ฟังมาตลอด บางครั้งก็ไม่ถูกต้องเสมอไป


อ่านต่อ : http://www.dek-d.com/content/education/20139/ปลา-ชีววิทยา-ไฟลั่ม.php#ixzz1CcUoVjQE

เรื่องของชั้น.....สำคัญต่อโลก




ชั้นบรรยากาศของโลกเรา ยังแบ่งได้เป็น 5 ชั้นอีกนะคะ คือ

1.โทรโพสเฟียร์ (Troposphere) ระยะความสูงจากพื้นโลกของบรรยากาศชั้นนี้ จะอยู่ที่ 0-15 กิโลเมตรเนหือระดับน้ำทะเลค่ะ เป็นชั้นบรรยากาศล่างสุดเลยหล่ะ สภาพโดยทั่วไปไม่ได้เป็นเนื้อเดียวกันตลอด จะปั่นป่วน วุ่นวายตลอดเวลา ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงทางอุณหภูมิ ความชื้น ความดัน และอื่น ๆ อยู่ตอลด

2.สตราโตสเฟียร์ (Stratosphere) เป็นบริเวณถัดจากชั้นโทรโพสเฟียร์ขึ้นไปจนถึงความสูง 50 กิโลเมตรเหนือระดับน้ำทะเล เป็นชั้นบรรยากาศที่ค่อนข้างคกที่ ไม่ค่อยจะเปลี่ยนแปลงนัก และยังเป็นชั้นที่มี โอโซนอยู่ด้วย (O3) ซึ่งเจ้าโอโซนนี้ก็จะทำหน้าที่ดูดซึมรังสีอัตราไวโอเลต(UV)จากดวงอาทิตย์ไว้อีกด้วย ว้าวๆ ไม่งั้นพวกเราคงดำกว่านี้แน่เลย

3.เมสโซสเฟียร์ (Mesosphere) ถัดจากชั้นสตราโตสเฟียร์ไปจนถึงความสูง 80-85 กิโลเมตรเหนือระดับน้ำทะเล และยังเป็นชั้นที่ฝนดาวตก (meteors) ส่วนใหญ่เผาไหม้หมดเมื่อเข้าสู่ชั้นบรรยากาศของโลกด้วยค่ะ

4.เทอร์โมสเฟียร์ (Thermosphere) เป็นชั้นที่ถัดจากเมสโซสเฟียร์ไปจนถึงความสูงประมาณ 600 กิโลเมตรเหนือระดับน้ำทะเล (จ๊าก สูงขึ้นไปอีก) เป็นชั้นสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) โคจรรอบโลกอยู่ที่ความสูง 320 – 380 กิโลเมตรค่ะ โอ้ๆ เราได้รู้เรื่องอวกาศมากขึ้น ก็จากสถานีแห่งนี้หล่ะค่ะ

5.เอ็กโซสเฟียร์ (Exosphere) เป็นบรรยากาศชั้นนอกสุดของโลกเป็นรอยต่อระหว่างชั้นบรรยากาศของโลกและอวกาศแล้วค่ะ แต่มีขอบเขตแบ่งระหว่างชั้นบรรยากาศและอวกาศที่ไม่ชัดเจน บรรยากาศชั้นนี้ประกอบไปด้วยแก๊สไฮโดรเจนและฮีเลียมเป็นหลัก พี่แนนว่า เราหายใจกันไม่ได้ตั้งแต่บรรยากาศชั้น 2 แล้วหล่ะมั้งนั่น



อ่านต่อ : http://www.dek-d.com/content/education/20639/เรื่องของชั้น..สำคัญต่อโลก.php#ixzz1CcUBl1Hp

หวานผ่าซาก....ต้องระวัง!!!


พูดถึงความหวาน สิ่งที่สร้างรสชตินี้ขึ้นมา ก็คือ น้ำตาล ค่ะ ซึ่งน้ำตาลเองก็มีอยู่หลายชนิด ทั้งน้ำตาลทราย น้ำตาลปี๊บ น้ำตาลกรวด น้ำตาลก้อน เรียกว่าทั่วบ้านเมืองอยากจะให้อาหารมีรสหวาน ก็ต้องใช้เจ้าน้ำตาลนี่หล่ะ เป็นวัตถุดิบที่มีติดเกือบทุกบ้าน ร้านอาหารก็ต้องมี ใส่เล็กน้อยพอเพิ่มรสชาติ ใส่มากจะกลายเป็นเชื่อม หวานปี๊กันเลยทีเดียว

น้ำตาล ในทางเคมีเป็นสารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต แบ่งได้อีกค่ะ ตามโครงสร้างโมเลกุล เป็น 3 กลุ่ม คือ

1.น้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว (Monosaccharide) เป็นชนิดของน้ำตาลที่มีโมเลกุลเล็กที่สุด ร่างกายย่อยไม่ได้อีก กินเข้าไปแล้วไม่ต้องผ่านการย่อย มีสูตรทั่วไปคือ CH2O การเรียนชื่อของน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวจะเรียกตามจำนวนอะตอมของคาร์บอน แล้วลงท้ายด้วย โอ_ส เช่น กลูโคส ฟรักโทส กาแล็กโทส เป็นต้น

2.น้ำตาลโมเลกุลคู่ (Disaccharide) เกิดจากน้ำตาลโทเลกุลเดี่ยว 2-10 โมเลกุล มารวมตัวกันด้วยพันธะไกลโคซิดิก (glycosidic bond) ซึ่งอาจเป็นชนิดเดียวกัน หรือต่างชนิดกันก็ได้ ได้แก่ ซูโครส ที่รู้จักกันดี ก็คือ น้ำตาลทรายนั่นเองค่ะ แล้วยังพบได้ในอ้อย ตาล มะพร้าว น้ำผึ้ง ฯลฯ นอกจากนี้ก็ยังมี มอลโทส แล็กโทส

3.น้ำตาลโมเลกุลซ้อน (Polysaccharide) เป็นการจับตัวกันของโมเลกุลน้ำตาล มากกว่า 2 ตัวขึ้นไป พบมากในแป้งของธัญพืช และเผือกหัวมันต่างๆ ในสัตว์ คือ ไกลโคเจน

โอ้โห เรื่องหวานๆ จริงๆแล้วก็มีที่มาซับซ้อนนะคะ มีแบ่งประเภทได้อีก และยังมีประโยชน์ต่อร่างกายเรา แต่ถ้ากินมากไปก็เกิดโรคได้ อาทิ โรคอ้วน!!! ต้องกินกันอย่างระมัดระวังนะคะ



อ่านต่อ : http://www.dek-d.com/content/education/20566/หวานผ่าซาก...ต้องระวัง.php#ixzz1CcTx1xPC

10 ห้องโปรดในโรงเรียน ที่นักเรียนชอบเข้า


1.ห้องดนตรี - ห้องแห่งเสียงเพลงและทำนอง สำหรับคนที่เรียนวิชาดนตรี ในที่นี้มีทั้งดนตรีไทยและดนตรีสากลนะคะ ห้องดนตรีสากล จะออกแนวบันเทิง เป็นแหล่งฝึกฝนวิชากันไป ส่วนห้องดนตรีไทย ก็ต้องสงบๆ และเคารพกันนิดหนึ่ง

2.ห้องศิลปะ - ห้องนี้สำหรับสร้างสรรค์จินตนาการค่ะ บรรยากาศก็จะอิสระนิดๆ คนที่ชอบวาดนั่นนี่ เข้าห้องนี้แล้วสุขสุดๆ หรือใครเก็บกดอารมณ์อะไรมา แอบมาติสท์แตกในนี้ ก็ถือว่าถูกทางนะคะ

3.ห้องคอมพิวเตอร์ - จะชอบมากเวลาพัก หรือเวลาว่าง เพราะชอบเข้าเน็ตมาดูข่าวสารความเคลื่อนไหว ดูรูป ดูคลิปนักร้องสุดที่รัก หรือเข้ามาหาสังคมออนไลน์คุณภาพอย่าง Dek.D.com เป็นต้น อิอิ

4.ห้องโสตทัศนศึกษา - เรียนสั้นๆว่าห้องโสตฯ สำหรับวิชาที่ต้องดูวิดิโอหรือมีฉายสไลด์ บางครั้งเวลาว่างก็อาจขออาจารย์มาเปิดดูหนังดูอะไรพักผ่อนได้บ้าง ยิ่งถ้ามีชุมนุมโสตฯด้วยละก็ จะเป็นชุมนุมที่คนเต็มไวที่สุดเลยไม่รู้ทำไม (แต่เรารู้กันใช่ไหม อิอิ)

5.ห้องพยาบาล - รู้สึกรุมๆ ตัวร้อนๆ ก็แวะไปห้องนี้สักหน่อย ได้กินยา หรือได้นอนพักในห้องนี้ แต่เห็นหลายคนอยากป่วย หรือทำตัวเหมือนป่วย ไปนอนบ่อยๆนะเนี่ย อิอิ


6.ห้องสมุด - ขึ้นชื่อว่าห้องสมุด ต้องรักษาความสงบเงียบอย่างเคร่งครัด เหมาะนักที่จะไปหาสมาธิ หลบลี้หนีจากผู้คน หรือแอบหลับตรงมุมชั้นวางหนังสือก็ยังได้ !!!

7.ห้องแลป - ห้องปฏิบัติการทางวิชาวิทยาศาสตร์ ดูน่าเรียนกว่าตอนจำสูตร จำสมการตั้งเยอะ

8.ห้องการงาน(ครัว) - โปรดสุดแล้วพี่น้อง ยิ่งห้องไหนมีวิชาการงานที่ต้องทำอาหาร พิฆาตคนทั้งโรงเรียนได้ด้วยกลิ่นอันหอมหวน จนอยากจะมาเกาะขอส่วนบุญ เอ้ยย ส่วนแบ่ง

9.ห้องแนะแนว - ห้องนี้จะได้รับความนิยมสูงสุดจากเด็ก ม.ปลายที่เตรียมแอดมิชชั่น เพราะต้องเข้าไปขอคำปรึกษาจากอาจารย์ในหลายๆเรื่อง บางครั้งก็ไม่ใช่เรื่องเรียนซะทีเดียว แต่เป็นเหมือนห้องปรึกษาปัญหาชีวิตของนักเรียนเลยหล่ะ

10.ห้องน้ำ - พลาดได้ยังไงห้องนี้ ประหนึ่งห้องแห่งสวรรค์ ถ้าไม่มี...ชีวิตนี้คงเศร้า พวกเราจะไปปลดทุกข์กันที่ไหน บางทีก็แอบไปตรวจความเรียบร้อยบนใบหน้า ส่องกระจก โบ๊ะแป้งแต่งหล่อ

อ่านต่อ : http://www.dek-d.com/content/education/20724/10-ห้องโปรดในโรงเรียน-ที่นักเรียนชอบเข้า.php#ixzz1CcRocXi7

ยามเมื่อลม "พายุ" พัดหวน


พายุที่เกิดขึ้นมีหลายชนิดค่ะ ขึ้นอยู่กับความรุนแรง และลักษณะของการเกิด แบ่งได้เป็น

พายุหมุนเขตร้อน เป็นคำทั่ว ๆ ไปที่ใช้สำหรับเรียกพายุหมุนหรือพายุไซโคลน (cyclone) ที่มีถิ่นกำเนิดเหนือมหาสมุทรในเขตร้อนแถบละติจูดต่ำ แต่อยู่นอกเขตบริเวณเส้นศูนย์สูตร พายุหมุนเขตร้อนเกิดขึ้นได้หลายแห่งในโลก และมีชื่อเรียกต่างกันไปตามแหล่งกำเนิด บริเวณที่มีพายุหมุนเขตร้อนเกิดขึ้นเป็นประจำ ได้แก่

มหาสมุทรแปซิฟิกเหนือด้านตะวันตก ทางตะวันตกของลองจิจูด 170 ํ ตะวันออก เมื่อมีกำลังแรงสูงสุด เรียกว่า "ไต้ฝุ่น" เกิดมากที่สุดในเดือนกรกฎาคม สิงหาคม กันยายน และตุลาคม

มหาสมุทรอินเดีย เรียกว่า "ไซโคลน"

มหาสมุทรอินเดียเหนือ ทะเลอาระเบีย เรียกว่า "ไซโคลน"

มหาสมุทรอินเดียใต้ ตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปออสเตรเลีย เรียกว่า "วิลลี่วิลลี่"

ความรุนแรงของพายุ จะวัดจากความเร็วลมค่ะ ซึ่งในย่านมหาสมุทรแปซิฟิกเหนือด้านตะวันตก และทะเลจีนใต้มีการแบ่งตามข้อตกลงระหว่างประเทศดังนี้

พายุดีเปรสชั่น ความเร็วลมใกล้ศูนย์กลางไม่ถึง 34 นอต (63 กม./ชม.)

พายุโซนร้อน 34 นอต (63 กม./ชม.) ขึ้นไป แต่ไม่ถึง 64 นอต (118 กม./ชม.)

พายุไต้ฝุ่น ความเร็วลม 64 นอต (118 กม./ชม.) ขึ้นไป


เฮอริเคน

จะเกิดขึ้นบนมหาสมุทรแปซิฟิค มีหลายชื่อขึ้นกับความเร็วลม ซึ่งก็จะอ่อนกำลังลงตามลำดับเป็น พายุโซนร้อน และพายุดีเปรสชั่นค่ะ


พายุทอร์นาโด

เป็นพายุหมุนที่มีความรุนแรงที่สุดและอันตรายมากที่สุด ในบรรดาพายุหมุน โดยลมพัดรอบศูนย์กลางอาจมีความเร็วถึง 800 กม./ชม.(จ๊ากก) และมีลักษณะเด่นชัดคือ เป็นพายุที่ก่อตัวจากก้อนเมฆ และย้อยลงมาบนผืนดินในลักษณะเป็นกรวยเกลียว ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 50–500 เมตร แม้ว่าพายุชนิดนี้จะมีอายุไม่นานคือ เฉลี่ยประมาณ 1–2 ชั่วโมง แต่มีอำนาจการทำลายสูง สามารถกวาดยกบ้านเรือน รถยนต์ พายุนี้ส่วนใหญ่จะเกิดในประเทศสหรัฐอเมริกา

พายุฟ้าคะนอง

เกิดจากเมฆฝนฟ้าคะนอง ตรงไหนที่มีอากาศร้อน และมีความชื้น เกิดได้หมด พายุฟ้าคะนองมักจะทำให้มีลมแรง ฟ้าแลบ ฟ้าร้อง และฝนหนักเกิดขึ้นพร้อมกัน ความรุนแรงก็ทำลายบ้านเรือน ต้นไม้พังได้เหมือนกันนะคะ

ส่วนใหญ่พวกเราคงเจอกันแต่ฝนฟ้าคะนองกันนะคะ แต่แค่นี้ก็จะแย่แล้ว ลองนึกถึงประเทศที่โดนเต็มๆ แล้ว ยังไม่รู้ว่าตัวเองจะรอดไหมนะคะเนี่ย แค่พี่แนนเจอลมพัดแรงๆตอนฝนตก ร่มพัดหงายเงิบแทนที่จะกันฝนได้ ตัวก็เปียกซะอย่างนั้น



อ่านต่อ : http://www.dek-d.com/content/education/21374/ยามเมื่อลม-พายุ-พัดหวน.php#ixzz1CcQTarLJ

10 สุภาษิตเจ๋ง ๆ แบบอินเตอร์ ๆ


Self-conquest is the greats of victory.การชนะใจตนเอง คือชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

Blood is thicker than water.
เลือดข้นกว่าน้ำ

Heaven never helps the men who will not act.สวรรค์ไม่เคยช่วยบุคคลผู้ซึ่งไม่ทำงาน

Time and tide wait for no man.เวลาและกระแสน้ำไม่คอยใคร

Never too late to learn.
ไม่สายเกินไปที่จะเรียนรู้

Manners maketh man.กิริยามารยาท ทำให้คนเป็นคน

If at first you don't succeed, try, try, try again.หากครั้งแรกไม่สำเร็จ พยายาม พยายาม พยายามอีกครั้ง

Don't meet troubles half-way.อย่าเผชิญปัญหาแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ

Better be a fool than a knave.เป็นคนโง่ดีกว่าเป็นคนโกง

Every man to his trade.
ทุกคนมีความถนัดของตนเอง

โอ้..แต่ละประโยคช่างแทงใจพี่แนนมากค่ะ อย่างนี้ต้องจำไปใช้แล้ว แต่จะจำเป็นภาษาไทยก่อนนะคะ ฮ่าๆ แล้วก็จดภาษาอังกฤษท่องไว้ รู้ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เท่ห์จะตายค่ะ


อ่านต่อ : http://www.dek-d.com/content/education/21706/10-สุภาษิตเจ๋งๆ-แบบอินเตอร์ๆ.php#ixzz1CcOCvarl

20 คำทับศัพท์ที่ใช้บ่อยจนคิดว่าเป็นคำไทย



กงสุล (consul) ได้ยินประจำคือ สถานกงศุลค่ะ พี่แนนก็เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าเรียกคล้ายๆกับภาษาอังกฤษเลย

คูปอง (coupon) อันนี้พี่แนนไม่แน่ใจว่าจะเรียกว่ายังไงดี ก็ทับศัพท์ตลอดเลยค่ะ

โคม่า (coma) เพื่อนพี่แนนตอนอกหัก ร้องไห้ฟูมฟาย จะเป็นจะตาย ก็เรียกว่า อาการโคม่า -_-''

เชิ้ต (shirt) เสื้อเชิ้ต ... แล้วเรียกเสื้ออะไรได้อีกหนอ??

ชอล์ก (chalk) ตั้งแต่เรียนมา คุณครูพี่แนนก็พูดว่าชอล์กตลอดเลยค่ะ ก็เลยไม่รู้ว่าเรียกอย่างอื่นว่าอะไร?

ซอส (sauce) ขาดไม่ได้สำหรับการประกอบอาหาร มีสารพัดซอสเลย

เต็นท์ (tent) มีหลายแบบหลายชนิด เป็นเหมือนที่พักชั่วคราว ที่พกพาได้ โดยเฉพาะเวลาไปค่าย ถ้าได้มีกางเต็นท์ สนุกเลย

แท็กซี่ (taxi) เจอได้ตามท้องถนนทั่วไป สั้นๆง่ายๆ

แบตเตอรี่ (battery) เวลาพี่แนนไปซื้อ เรียกถ่านไฟฉายตลอดเลย แหะๆ

ปลั๊ก,ปลั๊กไฟ (plug) เป็นอุปกรณ์วงไฟฟ้า ทำงานได้ต้องมีทั้งเต้ารับ และเต้าเสียบ แต่แหม จะให้พูดว่า "เอาเต้าเสียบพัดลม ไปใส่เต้ารับ" ก็ดูแปลกๆ ไม่ได้ยินคนพูดกัน ก็เลยพูดว่าเสียบปลั๊ก ก็เข้าใจแล้ว




ฟรี (free) ก็คือ ไม่ต้องเสียอะไร คำนี้เป็นคำที่หลายๆคนชอบ ได้ยินที่ไหนไม่ได้ ต้องไปให้ถึงแหล่ง อิอิ พี่แนนก็ไม่รู้ว่าจะใช้คำอื่นว่าอะไรค่ะ

ฟิล์ม (film) อันนี้ไม่ใช่นักร้องนะคะ ฮ่าๆ แต่หมายถึงอุปกรณ์ส่วนหนึ่งของการบันทึกภาพ

ยีราฟ (giraffa) สัตว์โลกน่ารักคอยาวที่สุดในโลกตัวนี้ เพื่อนพี่แนนเคยอ่านเสียงดังๆ ว่า "ไก-รา-ฟี่" ด้วยหล่ะ ฮ่าๆๆ

ลิปสติก (lipstick) หรือเรียกกันสั้นๆว่าทาลิป น้องคนไหนชอบใช้ เรียกอีกอย่างว่าอะไรคะ?

ลิฟต์ (lift) เหมาะสำหรับคนไขข้อเสื่อมอย่างพี่แนน เย้ย พี่แนนขึ้นตึกด้วยบันได้ได้สูงสุดแค่ 5 ชั้นค่ะ นอกนั้นขอพึ่งลิฟต์อ่ะ

แสตมป์ (stamp) ภาษาไทย คือ ดวงตราไปรษณียากร แต่ก็ดูยาวใช่ไหมคะ เลยเรียกกันสแตมป์ สั้นกว่าเยอะ บางทีก็ได้ยินว่า ไปสแตมป์บัตรจอดรถ ก็คือประทับตราจิดรถนั่นเอง

สปาเกตตี (spaghetti) ของกินอีกหนึ่งเมนู เป็นเส้นๆราดซอสหลายแบบ พี่แนนก็ชอบทุกแบบแหละ อิอิ

โหวต (vote) ก็คือการลงคะแนนเสียง แต่ก็นิยมใช้เรียกสั้นๆมากกว่า

ออฟฟิศ (office) เวลาพูด ก็นึกถึงที่ทำงานใช่ไหมคะ ถ้าจะบอกว่ากลับสำนักงาน จะดูเชยไปไหม อิอิ

ฮอร์โมน (hormone) เวลาเจออาหารอร่อยๆ ฮอร์โมนพี่แนนก็พลุ่งพล่าน หน้าตาแจ่มใสกว่าปกติ (เอ๊ะ น่าจะเป็นน้ำย่อยมากกว่านะ ฮ่าๆ)

20 คำนี้เป็นส่วนหนึ่งนะคะ ยังมีอีกเยอะมากๆๆ ที่เราใช้ทับศัพท์กันจนชิน แม้บางคำจะมีคำไทยบัญญัติไว้ แต่เราก็ติดที่ความง่ายและสะดวกของภาษาอังกฤษ เลยใช้กันมาตลอด 20 คำที่ว่ามานี้ บางคำพี่แนนก็ไม่รู้ว่าศัพท์ไทยคืออะไร แหะๆ ก็เลยติดเรียกแบบนี้ไปเลย แต่ไม่ว่บศัพท์จะใช้ทับศัพท์มากแค่ไหน แต่ก็ต้องใช้ให้ถูกต้อง และไม่ลืมความหมายภาษาไทยด้วยนะคะ



อ่านต่อ : http://www.dek-d.com/content/education/21967/20-คำทับศัพท์ที่ใช้บ่อยจนคิดว่าเป็นคำไทย.php#ixzz1CcN7YvBq

รู้ไหม "อัตโตวินาที" สั้นแค่ไหน?



มิลลิวินาที (Milliseconds)
(1 ในพันของวินาที) ความเร็วระดับนี้ ยังปราณีให้ตาของมนุษย์อย่างเราเห็นได้ค่ะ

ไมโครวินาที (Microsecond)
(1 ในล้านของวินาที) แม่เจ้า เป็นล้านกันเลยทีเดียว เทียบเท่ากับความเร็วของกระสุนปืนค่ะ พี่แนนต้องใช้กล้องจับภาพความเร็วสูงจับภาพค่ะ ถึงจะเห็น

นาโนวินาที-พิโควินาที (Nanosecond-Picosecond)
(1 ในพันล้านของวินาที-1ในล้านล้านของวินาที) จ๊ากกก เวลาสั้นขนาดนี้ ไม่ได้เห็นด้วยตากันแล้วค่ะ ถ้าใครคิดว่าจะเห็นได้ง่าย ลองพาพี่แนนไปดูความเร็วของสัณญาณไฟฟ้าที ระดับนั้นเลยหล่ะ

เฟมโตวินาที (Femtosecond)
(1 ในพันล้านล้านวินาที) ระยะเวลาขนาดนี้ ลงลึกไปถึงเรื่องโมเลกุลกันเลยค่ะ พี่แนนคงหมดปัญญา เป็นระดับความเร็วในการรวมตัวและการแยกตัวของโมเลกุลค่ะ

อัตโตวินาที (Attosecond)
(1 ในล้านล้านล้านของวินาที) มาทีล้านล้านล้าน จัดหนักมาเลย เพราะว่าเป็นหน่วยเวลาที่สั้นสุดๆ ขนาดการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนในอะตอมเลยทีเดียว!!!


นอกจากจะมีหน่วยเวลาเป็นชั่วโมง นาที วินาทีแล้ว ยังแบ่งเศษเสี้ยววินาทีออกเป็นล้านล้านล้าน พี่แนนก็เพิ่งรู้นี่แหละค่ะ แต่พี่แนนก็ยังชอบชั่วโมงมากกว่าอยู่ดี โดยเฉพาะเวลานอน ขอหลายๆชั่วโมงเลยนะ

อ่านต่อ : http://www.dek-d.com/content/education/22670/รู้ไหม-อัตโตวินาที-สั้นแค่ไหน.php#ixzz1CcLIjiJl

หนังสือน่าเบื่อ ไม่สนใจอ่าน อ่านยังไงดี ??

3 วิธี ช่วยในการอ่านเนื้อหาที่ดูแล้วน่าเบื่อ หรือไม่น่าสนใจ แต่ไฟท์บังคับต้องอ่านมาฝากกันค่ะ ไปดูกันเลยว่า ทำยังไงดีเนี่ย??




- อ่านแบบสำรวจ
ลองอ่านแบบผ่านๆไปเลยค่ะ หรือข้ามๆไปบ้างก็ได้ คือยังไงก็ขอให้ดูผ่านตาไว้ โดยเฉพาะประเด็นสำคัญ ถ้ามีตัวอย่างหลายตัวอย่าง ก็เลือกดูสัก 2-3 ตัวอย่างก็พอค่ะ

- อ่านย้อนหลัง
ตำราจิตวิทยาและสังคมศาสตร์ เค้าว่ากันว่ามักจะเก็บสาระสำคัญไว้ตอนท้ายๆ ดังนั้นเราก็แอบมีทางลัด ลองอ่านจากตอนท้ายดูบ้างก็ได้ค่ะ อิอิ
- พักบ่อยๆ
เห็นว่าให้พักบ่อยๆ ไม่ใช่เอะอ่ะ ก็พักนะคะ เราต้องวางแผนก่อนว่า จะทนอ่านนานสักเท่าไหร่ 20-30 นาที หรือจะมากกว่านั้น แล้วดูว่าจะทำอะไรตอนพัก เพราะกิจกรรมที่เราจะทำตอนพัก จะช่วยให้เรากระตือรือร้นขึ้นมาได้อีกครั้งค่ะ

อ่านต่อ : http://www.dek-d.com/content/education/22989/หนังสือน่าเบื่อ-ไม่น่าสนใจ-อ่านยังไงดี.php#ixzz1CcKAVsMH

วิธีหาข้อมูลทำรายงานให้ได้เกรด A+


1.เริ่มแรกก็ต้องดูจากหัวข้อรายงานนั้นก่อนค่ะ ว่าครอบคลุมไปถึงหัวข้อย่อยๆเรื่องไหนบ้าง เช่น "มลพิษทางอากาศ" หัวข้อย่อยที่เกี่ยวข้อง เช่น อากาศ,อากาศกับสุขภาพ,นิเวศวิทยา,มาตรฐานสิ่งแวดล้อม,สิ่งแวดล้อมเป็นพิษ แล้สก็ม่ดูว่า ต้องใช้ข้อไหน จำเป็นไหม ถ้าไม่จำเป็นก็ตัดออก ฉับ!!

2.ทวบทวนสิ่งที่รู้อยู่แล้ว เอามาใช้ให้เกิดประโยชน์ จะได้ไม่เสียเวลาไปค้นหาสิ่งที่รู้อยู่แล้วอีก

3.ใช้บรรณานุกรมหรือเอกสารอ้างอิงของหนังสือที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์ค่ะ ซึ่งน้องๆอาจจะใช้เป็นแหล่งหาข้อมูลเพิ่ม จะได้รู้ข้อมูลที่ชัดเจนมากขึ้น แล้วยังได้รู้ทั้งข้อมมูลที่อัพเดทและข้อมูลดั้งเดิม

4.เวลาเลือกหนังสือน้องควรเลือกที่เกี่ยวข้องมาก่อนทีเดียวให้มากๆ ก่อนจะเริ่มอ่าน จะได้ไม่ต้องเดินไปเดินมาหยิบเพิ่มเติม ลดความวุ่นวาย


5. อ่านคร่าวๆ ดูสารบัญ ดูว่าเนื้อเรื่องสัมพันธ์กับสิ่งที่ต้องการไหม เพื่อตัดสินใจว่าจะใช้หรือไม่ใช้ จะได้ไม่เสียเวลา

6.จัดเรียงหนังสือที่เราจะใช้อ้างอิงตามตัวอักษรค่ะ จะได้สะดวกในการค้นคว้าซ้ำ

7.จดข้อมูลหนังสือที่เราใช้ให้ละเอียดที่สุด ทั้งชื่อหนังสือ ชื่อผู้แต่ง สำนักพิมพ์ ปีที่พิมพ์ หน้าที่ใช้ เวลาที่กลับมาใช้อ้างอิงอิง จะได้ไม่เสียเวลา อิอิ

8.จะใช้ห้องสมุด ก็ต้องแต่งกายให้เรียบร้อยถูกระเบียบนะคะ จะได้ไม่มีปัญหานะ


อ่านต่อ : http://www.dek-d.com/content/education/23385/วิธีหาข้อมูลทำรายงานให้ได้เกรด-A.php#ixzz1CcIkLOau

วิธีจุดไฟอ่านหนังสือ(ขั้นแผดเผา)

1.เขียนคำที่เป็นแรงบันดาลใจติดผนัง - หาถ้อยคำที่กำลังใจดีๆ ความหมายดีๆ จะมาจากคนดัง หรือไอดอลของเราก็ได้นะคะ หรือบางทีอาจจะเป็นท่อนหนึ่งจากเนื้อเพลงที่ฟังแล้วโดน ก็เอามาเขียน

เป็นไปได้ก็เขียนแปะผนังทุกที่เลยค่ะ ตั้งแต่ประตูหน้าห้อง หลังประตู ผนังห้องนอน บนฝ้า ห้องน้ำ ติดหมดทุกที่ ยิ่งถ้าใช้โพสต์อิทสีสันต่างๆ ห้องขาวๆ กลายเป็นห้องสีคัลเลอร์ฟูลกันเลยทีเดียวค่ะ ทีนี้เวลาเดินผ่าน ยังไงก็ต้องเห็น เป็นกำลังใจดีๆอย่างหนึ่งค่ะ

2.เขียนเป้าหมายที่ต้องการตัวโตๆหน้าห้อง - อย่างถ้าน้องๆต้องสอบ หรืออ่านหนังสือ ก็เขียนไว้ตัวใหญ่ๆเลยค่ะ เช่น อ่านหนังสือ,สอบแล้ว,ห้ามอู้,เกรด A ฯลฯ กระตุ้นให้เราไม่ลืมเป้าหมาย
3.บอกตัวเองเสมอว่า "เราทำได้" - เวลาท้อ เหนื่อย หรือเริ่มจะไม่ไหว ให้คิดเลยว่า เราทำได้ คนอื่นๆทำได้ ทำไมเราจะทำไม่ได้ จริงไหมคะ ตอนแรกอาจจะเสียงเบาๆว่า "เราทำได้" แต่พูดบ่อยๆ เเราก็จะเข้มแข็ง และเชื่อมั่นในตัวเองค่ะ

4.คิดถึงพ่อ คิดถึงแม่ คนที่เรารัก - ให้ลองมองย้อนดูว่า ตั้งแต่เล็กจนโต พ่อแม่เลี้ยงเรามาท่านเหนื่อยยากแค่ไหน ชั้นอนุบาล-ประถม ท่านก็หาที่เรียนให้เรา พอชั้นมัธยมต้นและมัธยมปลายเราต้องสอบเข้า ถ้าสมมุติว่าเราสอบเข้าร.ร,ที่เราอยากเข้าไม่ได้ ท่านก็ไม่ได้ว่าอะไร ขอแค่ให้เรามีที่เรียนเป็นพอ...
แต่พอถึงมหาวิทยาลัย ลึกๆในใจของท่านก็คงอยากได้เราติดคณะดีดี อยากให้เราแอดมิชชั่นติด เพราะแต่ละคณะก็บ่งบอกถึงอนาคตว่าเราจะประกอบอาชีพอะไร เมื่อเราแอดมิชชั่นติดท่านก็โล่งอก สบายใจ และดีใจกับเรา อย่างน้อยเราก็เริ่มต้นกับก้าวแรกของชีวิตเราได้

5.ให้รางวัลตัวเอง - ตั้งรางวัลตัวเองไว้บ้างก็ได้ค่ะ เช่น ถ้าอ่านหนังสือเล่มนี้จบ เราจะไปชอปปิ้งซื้อเสื้อตัวใหม่เป็นรางวัล แต่ถ้าอ่านไม่จบ ก็ห้ามซื้อ

อ่านต่อ : http://www.dek-d.com/content/education/23600/วิธีจุดไฟขยันอ่านหนังสือขั้นแผดเผา.php#ixzz1CcHFkyWU

คนแรกและสิ่งแรกของประเทศไทย !!

คนแรกและสิ่งแรกของประเทศไทย ที่พอจะหาได้ อาจจะมีมากกว่านี้


# กษัตริย์ไทยพระองค์แรก (พ่อขุนศรีอินทราทิตย์)

# นายกรัฐมนตรีคนแรกของไทย (พระยามโนปกรณ์นิติธาดา)

# ประธานสภาผู้แทนราษฎรคนแรกของไทย (เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี)

# สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหญิงคนแรกของไทย (นางอรพินท์ ไชยกาล)

# อธิบดีหญิงคนแรกของไทย (คุณหญิงอัมพร มีศุข อธิบดีกรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ)

# จอมพลคนแรกของเมืองไทย (จอมพล สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์ เจ้าฟ้าฯ กรมพระยาภาณุพันธุวาษ์วรเดช)

# นักดาราศาสตร์คนแรกของไทย (รัชกาลที่ 4)

# นางสาวไทยคนแรกของประเทศไทย (นางสาวกันยา เทียนสว่าง)

# นางสาวไทยคนแรกที่ชนะการประกวดนางงามจักรวาล (นางสาวอาภัสรา หงสกุล)

# สตรีไทยคนแรกที่ได้รับรางวัลแมกไซไซ (คุณนิลวรรณ ปิ่นทอง)

# นักมวยไทยคนแรกที่ได้ครองตำแหน่งแชมป์โลก (โผน กิ่งเพชร)

# นักพากย์ภาพยนตร์คนแรกของไทย (นายสิน สีบุญเรือง (ทิดเขียว))

# นักเขียนการ์ตูนคนแรกของไทย (ขุนปฏิภาคพิมพ์ลิขิต (เปล่งไตรปิ่น))

# ผู้คิดประดิษฐ์อักษรไทยคนแรก (พ่อขุนรามคำแหง)

# ผู้คิดตัวพิมพ์อักษรไทยเป็นคนแรก (ร้อยโท เจมส์ โลว์)

# ผู้เริ่มใช้กระแสไฟฟ้าเป็นคนแรกของไทย (จอมพล เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสงชูโต))

# ผู้เปิดเดินรถเมล์ในกรุงเทพมหานครเป็นคนแรก (พระยาภักดีนรเศรษฐ์ (นายเลิศ))

# ผู้ประดิษฐ์รถสามล้อขึ้นใช้ในประเทศไทยเป็นคนแรก (นายเลื่อน พงษ์โสภณ)

# ผู้ให้กำเนิดลูกเสือไทยคนแรก (รัชกาลที่ 6)

# ผู้เริ่มแท็กซี่ในประเทศไทยเป็นครั้งแรก (พลโท พระยาเทพหัสดิน (ผาด เทพหัสดิน ณ อยุธยา) เมื่อปี พ.ศ.2466)

# ผู้ที่ริเริ่มใช้คำว่า "สวัสดี" (พระยาอุปกิตศิลปสาร)

# ผู้ให้กำเนิดเพลงสรรเสริญพระบารมี (กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์)

# ผู้ให้กำเนิดเพลงชาติไทย (พระเจนดุริยางค์ (บรรเลงครั้งแรกโดยวงดุริยางค์ทหารเรือ))

# ผู้แต่งเพลงกราวกีฬา (เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี)

# ผู้ได้รับยกย่องให้เป็น "บิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทย" (สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ)

# ผู้ได้รับยกย่องให้เป็น "บิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันของไทย" (สมเด็จพระราชบิดา กรมหลวงสงขลานครินทร์)

# ผู้ได้รับยกย่องให้เป็น "บิดาแห่งกองทัพเรือ" (กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์(พระราชโอรสในรัชกาลที่ 5))

# ผู้ได้รับยกย่องให้เป็น "บิดาแห่งการสหกรณ์แห่งประเทศไทย (กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์)

# ฝาแฝดคู่แรกของไทย (ฝาแฝด อิน - จัน เกิดเมื่อ 11 พฤกษภาคม พ.ศ. 2434 ที่ จ. สมุทรสงคราม)

# ผู้ที่ริเริ่มใช้ ร.ศ. (รัตนโกสินทร์ศก) (รัชกาลที่ 5)

# ร.ศ. 1 ตรงกับปี พ.ศ. (พ.ศ. 2331)

# เรือกลไฟลำแรกของประเทศไทย (เรือสยามอรสุมพล)

# โรงพยาบาลแห่งแรกของไทย (โรงพยาบาลศิริราช)

# มหาวิทยาลัยแห่งแรกของไทย (จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย)

# โรงเรียนอนุบาลแห่งแรกของไทย (โรงเรียนอนุบาลที่โรงเลี้ยงเด็ก ซึ่งพระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ พระอัครชายาใน[*]# รัชกาลที่ 5เป็นผู้ให้กำเนิด)

# ธนาคารเอกชนแห่งแรกของไทย (แบงก์สยามกัมมาจล (ปัจจุบัน คือธนาคารไทยพาณิชย์))

# โรงภาพยนตร์โรงแรกในกรุงเทพฯ ที่ฉายจอซีนีมาสโคป (โรงภาพยนตร์ศาลาเฉลิมไทย)

# ภาพยนตร์เรื่องแรกที่ออกฉายให้ประชาชนชมครั้งแรกเรื่อง (นางสาวสุวรรณ เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2466)

# โรงแรมแห่งแรกของไทย (โรงแรมโอเรียนเต็ล)

# โรงพิมพ์แห่งแรกของประเทศไทย (โรงพิมพ์ของหมอบรัดเลย์ ตั้งอยู่ที่ธนบุรี)
[*]# บทประพันธ์ที่ทำการขายลิขสิทธิ์ครั้งแรกในประเทศไทย(นิราศลอนดอนของหม่อมราโชทัยขายให้กับหมอบรัดเลย์)

# แบบเรียนเล่มแรกของคนไทย (หนังสือจินดามณี พระโหราธิบดีเป็นผู้แต่ง)

# หนังสือไทยเล่มแรก (หนังสือไตรภูมิพระร่วง)

# หนังสือพิมพ์ฉบับแรกของไทย (หนังสือพิมพ์บางกอกรีคอดเดอร์ เมื่อปี พ.ศ.2387)

# ปฏิทินฉบับภาษาไทยของประเทศไทยจัดพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ (ปี พ.ศ.2385)

# วิทยุโทรทัศน์มีขึ้นในประเทศไทยเป็นครั้งแรกเมื่อ (ปี พ.ศ.2497 สมัย จอมพล ป. พิบูลสงคราม)

# สถานีโทรทัศน์แห่งแรกของประเทศไทย (สถานีโทรทัศน์ ไทยทีวีช่อง 4 บางขุนพรหม ปัจจุบัน คือ ช่อง 9 อสมท.)

# โรงเรียนหลวงสำหรับราษฎรแห่งแรก (โรงเรียนวัดมหรรณพาราม)

อ่านต่อ : http://www.dek-d.com/board/view.php?id=2030283#ixzz1BBA8niIQ

ผิวแห้งในหน้าหนาวดูแลอย่างไรดี ??


หนาว หนาว หนาว พอถึงหน้าหนาวสาวๆ ผิวแตก … ช่วงนี้อากาศเริ่มเย็นขึ้นเรื่อยๆ เวลาที่อุณหภูมิลดลงแบบนี้ความชื้นในอากาศจะลดลง ทำให้อากาศรอบๆ ตัวเราแห้ง ส่งผลให้น้ำในผิวหนังของเราระเหยผ่านผิวหนังออกมาสู่บรรยากาศ จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ผิวหนังของเราลอกเป็นขุย

ในบางคนที่มีผิวบางมากๆ อาจเกิดอาหารอักเสบระคายเคืองหรือมีอาการคันง่าย ริมฝีปากอาจแห้งแตก หนังศีรษะแห่งและลอก (เป็นรังแค) ไม่เพียงแค่นั้น ในช่วงที่อากาศหนาวแบบนี้ยังเป็นปัจจัยที่เอื้อให้โรคผิวหนังบางโรคเกิดการกำเริบได้ง่ายมากขึ้น เช่น โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง (Atopic dermatitis) ผื่นผิวหนังอักเสบบริเวณผิวมัน (Seborrheic Dermatitis) โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis) เป็นต้น

สำหรับสาวๆ อย่างพวกเรา การดูแลผิวในช่วงฤดูหนาวนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เราจะต้องดูแลผิวหนังให้มีความชุ่มชื้นอยู่ตลอดเวลา และถ้าเป็นไปได้ควรหลีกเลี่ยงการอาบน้ำอุ่นบ่อยๆ เพราะทำยิ่งทำให้ผิวแห้งมากขึ้น และหลังจากอาบน้ำควรทาโลชั่นให้ชุ่มชื้นหลักจากการอาบน้ำทุกครั้ง เนื่องจากหลังอาบน้ำใหม่ๆ น้ำยังระเหยไปไม่หมด โลชั่นจะอุ้มน้ำได้ดีค่ะ

ส่วนการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวหนัง ในสาวๆ ที่มีอาการเป็นผื่นภูมิแพ้ผิวหนังซึ่งจะมีอาการผิวแห้งควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวหนัง ที่ไม่มีส่วนประกอบของน้ำหอม สี และสารกันเสีย เพราะอาจจะทำให้เกิดอาการแพ้หรือระคายเคืองต่อผิวได้ง่าย

สาวๆ คนไหนที่เป็นผิวปกติหรือผิวแห้งน้อยควรเลือกทาโลชั่นค่ะ แต่ถ้าเป็นสาวที่มีผิวแห้งปานกลางถึงแห่งมากควรใช้ผลิตภัณฑ์ให้ความชุ่มชื่นกับผิวชนิดที่เป็นครีมหรือขี้ผึ้ง ส่วนการเลือกใช้สบู่ควรเลือกใช้สบู่ที่มีความระคายเคืองต่อผิวน้อย เลือกใช้สบู่ที่ไม่มีความเป็นกรดหรือด่างมากจนเกินไป และเวลาที่สาวๆ อาบน้ำไม่ควรฟอกสบู่มากจนเกินไป เพราะจะทำให้ไขมันบนผิวหนังลดน้อยลงค่ะ สำหรับสาวๆ ที่มีผิวแห้งมากไม่ควรอาบน้ำเกินวันละ 2 ครั้ง โดยอาจอาบน้ำเปล่า และเลือกฟอกสบู่เฉพาะตามซอกต่างๆ ที่มีความอับชื้น เช่น คอ ขาหนีบ และรักแร้ ก็สามารถช่วยลดอาการแห้งของผิวได้ค่ะ

ครีมกันแดดก็ยังเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับสาวๆ เสมอ เพราะในฤดูหนาวถึงอาจมีอากาศเย็นสบาย แต่ก็มีแดดแรงมากเช่นกัน การทาครีมกันแดดจึงเป็นสิ่งที่สาวๆ อย่างเราไม่ควรมองข้าม เพราะในแสงแดดมีรังสีอัลตราไวโอเลต ซึ่งจะไปทำลายคอลลาเจน และอีลาสตินในชั้นหนังแท้ ทำให้เกิดริ้วรอยต่างๆ ดังนั้น สาวๆ จึงควรทาครีมกันแดดทุกวันและควรทาครีมกันแดดก่อนออกโดนแดดอย่างน้อย 30 นาที


หลีกเลี่ยงการโดนแดดโดยเฉพาะในช่วงเวลา 10.00-16.00 น. การทาครีมกันแดดควรทาให้เพียงพอ ไม่บางหรือหนาจนเกินไป ควรเลือกครีมกันแดดที่สามารถป้องกันได้ทั้ง UVA และ UVB ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ มีความคงตัวสูง ไม่ว่าจะโดนน้ำ หรือเหงื่อ ไม่เหนียว สำหรับคนที่อยู่ในอาคาร ควรเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF ประมาณ 15 แต่ถ้าต้องออกไปโดนแดดจัด ควรใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF ประมาณ 30

อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญและมีหลายคนที่ยังไม่ทราบก็คือ ในผู้ที่ใช้ยาบางประเภท เช่น ยารักษาสิว ยาลดความดัน ยาขับปัสสาวะและยาลดไขมัน จะทำให้ผิวหนังแห้งมากขึ้นได้ ดังนั้นจึงควรดูแลผิวให้มีความชุ่มชื้นอยู่ตลอดเวลา แต่ถ้ายังมีผิวแห้งมาก คันมาก มีผื่นขึ้น ควรรีบมาพบแพทย์ผิวหนังในทันที

อ่านต่อ : http://www.dek-d.com/content/girl/22727/ผิวแห้งในหน้าหนาวดูแลยังไงดี.php#ixzz1AeJNdFWY

4 สูตรลดความอ้วนเห็นผลเร็วทันใจ



1. การไดเอทแบบ Abs Diet Power 12

เป็นการยึดหลักการทานอาหาร 12 อย่าง อันได้แก่ อัล มอนด์ , ถั่ว , ผักโขม , ผลิตภัณฑ์จากนม, ข้าวโอ๊ตกึ่งสำเร็จรูป , ไข่, ไก่งวง, เนยถั่ว, น้ำมันมะกอก, ขนมปังโฮลวีต, โปรตีนผง, ราสเบอร์รี่, หรือผลไม้ตระกูลเบอรี่ต่าง ๆ และถ้าเอาตัวอักษรหน้าชื่ออาหารทั้งหมดมารวมกันก็จะได้คำว่า "Abs Diet Power" พอดีเป๊ะค่ะ

โดยการกินอาหารทั้ง 12 ชนิดจะช่วยสลายไขมันสะสม และยังกระตุ้นระบบเผาผลาญ ทำให้ไม่มีไขมันสะสมใหม่เพิ่มเข้ามาในร่างกายของเรา อีกทั้งแนะนำให้ดื่มน้ำผลไม้ เพราะร่างกายเราจำเป็นต้องมีวิตามินร่วมด้วยในการดูดซึมสารอาหารบางตัว และความหวานของน้ำผลไม้ยังช่วยให้คุณไม่หิว จะได้ไม่มีข้ออ้างหาของกินโดยไม่จำเป็น ที่สำคัญอีกอย่าง ก็ต้องดื่มน้ำเปล่าอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว นอกจากนี้สูตรนี้ยังอนุญาตให้สาวที่ชอบปาร์ตี้ สามารถดื่มเครื่องดื่มที่เป็นแอลกอฮอล์ได้อาทิตย์ละ 3 แก้วด้วยค่ะ


2. การไดเอทตามสูตร Chocolate Diet

เคล็ดลับของสูตรนี้อยู่ที่คาเฟอีนในช็อกโกแลต ซึ่งสามารถกระตุ้นระบบเผาผลาญของร่างกายได้ ถ้ากินช็อกโกแลตแท้แบบไม่มีน้ำตาล หรือแบบที่มีน้ำตาลไม่เกินร้อยละ 40 จะเพิ่มการเผาผลาญพลังงานของร่างกายในมื้อนั้นขึ้นอีกร้อยละ 15 และระหว่างวันถ้ากินช็อกโกแลตแบบน้ำตาลต่ำ ๆ ชิ้นเล็ก ๆ สักสองชิ้นก็จะทำให้คุณอยากของหวานน้อยลง
3. การไดเอทด้วยสูตร Ginger Tea Diet

การไดเอทด้วยน้ำขิงนั้นเป็นวิธีตามแพทย์แผนอินเดีย ที่ยกย่องว่า "ขิง" คือ สุดยอดที่สามารถรักษาได้สารพัดโรค และอุดมไปด้วยแคลเซียม แมกนีเซียม เหล็ก และวิตามินบี 1 และบี 2 ที่ช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญได้ดี ถ้าจิบระหว่างวันทุกวัน หรือกินหลังมื้ออาหารก็จะช่วยสลายไขมันสะสมได้เร็วขึ้น


4. การไดเอทด้วยอินเทอร์เน็ต

หลายคนฟังแล้วก็คงจะสงสัยว่า อินเทอร์เน็ตมีส่วนช่วยในการไดเอทได้อย่างไร คำตอบก็คือ เพราะว่าการท่องโลกไซเบอร์ทำให้สามารถเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ ทีเกี่ยวกับการลดน้ำหนักได้ง่ายขึ้น ทั้งการออกกำลังกาย การทานอาหารที่มีประโยชน์ แถมยังได้เจอเพื่อนที่กำลังประสบปัญหาเดียวกัน ทำให้มีแรงกระตุ้นที่จะไดเอทอย่างต่อเนื่องจนประสบความสำเร็จ ดังนั้นผู้หญิงที่เล่นอินเทอร์เน็ต จะไดเอทได้เร็วกว่าผู้หญิงที่ไม่เล่นอินเทอร์เน็ตเลย



อ่านต่อ : http://www.dek-d.com/board/view.php?id=2024516#ixzz1AeHfvpYd

เทคนิครับมือปัญหา น้องหมาชอบหอน



คง ไม่ดีแน่ ๆ หากน้องหมาของคุณชอบที่จะส่งเสียงเห่าหอนอยู่เป็นประจำ เพราะนอกจากจะสร้างความรำคาญให้เจ้าของแล้ว ยังอาจกระทบกระเทือนไปถึงบ้านใกล้เรือนเคียงจนกลายเป็นปมปัญหามองหน้ากันไม่ ติดก็เป็นได้

แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากหากคิดจะแก้ไขพฤติกรรมชอบหอน งั้นลองมาดูกันว่า การหอนของน้องหมามาจากสาเหตุได้บ้าง

ความเหงา สังเกตได้ว่าสุนัขที่อยู่บ้านเพียงลำพังตัวเดียวนาน ๆ จะชอบหอน หรือหอนมากกว่าสุนัขที่ร่าเริง อันเนื่องมาจากความเหงาและความกลัวนั่นเอง

สภาพแวดล้อม อาจเป็นไปได้ว่า การเริ่มต้นของเขาถูกสนับสนุนจากเจ้าของโดยไม่รู้ตัว ทำให้น้องหมาเข้าใจผิดไปว่าการเห่าหอนเช่นนี้เป็นพฤติกรรมที่ดี เช่น เมื่อเขาหอนแล้วคุณปล่อยเขาออกนอกบ้าน อาจด้วยความรำคาญหรืออื่นใดก็ตาม น้องหมาก็จะจดจำจนติดเป็นนิสัย

การไม่ได้ออกกำลังกาย สุนัขที่ไม่ค่อยได้เคลื่อนไหวร่างกายอย่างสม่ำเสมอทำให้พวกเขาเลือกที่ปลด ปล่อยพลังบางส่วนด้วยการเห่าหอน แต่ถ้าไม่ได้ออกกำลังกายจนเคยชินแล้วล่ะก็ อาจจะหลับมากกว่าหอนก็ได้นะ

การได้ยินเสียง อย่าง ที่รู้กันดีว่าประสาทสัมผัสของสุนัขนั้นไวมาก หากเขาได้ยินเสียงที่มีความถี่ต่ำหรือสูงกว่าปกติก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำ ให้สุนัขหอน สังเกตได้จากเวลาที่ได้ยินเสียงแหลม ๆ หรือกังวานสุนัขมักจะหอน


จัดการอย่างไร น้องหมาชอบหอน

พาออกกำลังกายบ้าง การพาน้องหมาไปเดินเล่น ออกกำลังกาย หรือพาไปพบปะสุนัขตัวอื่น ๆ จะช่วยให้เขารู้สึกดี และรู้จักการเข้าสังคม

หากิจกรรมให้ทำ ยามที่ต้องอยู่บ้านตัวเดียว อาจหาของเล่น หรือขนมขบเคี้ยวมาวาง หรือซุกซ่อนให้เขาได้หา เพื่อเป็นกิจกรรมดึงความสนใจในเวลาที่ไม่มีใครอยู่บ้าน

สอนคำสั่ง เพื่อปรับพฤติกรรม ข้อนี้อาจต้องใช้ความอดทนและเวลา โดยเจ้าของต้องออกคำสั่ง "เงียบ" หรือ "อย่าหอน" ทุกครั้งที่น้องหมาเริ่มหอน และหากิจกรรมอย่างอื่นให้เขาทำ เช่น วางขนมบนจมูก ทำเช่นนี้น้องหมาจะหยุดหอน และหันมาสนใจขนมแทน เมื่อเขาหยุดหอนให้ทิ้งเวลาสักแป๊ป ก่อนจะให้ขนมเป็นรางวัล

อ่านต่อ : http://www.dogilike.com/board/view.php?id=1172#ixzz1AeFPgWC4

สำนวนที่เกิดจากอุบัติเหตุ

1.จี้เส้น
ความหมาย พูดหรือทำให้ผู้ดูผู้ฟังขบขันหัวเราะ เช่น ตลกจี้เส้น เป็นสำนวนใหม่พวกเดียวกันนี้ยังมี “เส้นตื้น” คือคนที่หัวเราะง่ายก็ว่าคนนั้นเส้นตื้น

2. ใจดีสู้เสือ
ความหมาย ทำใจให้เป็นปกติเผชิญกับสิ่งที่น่าหลัว
ตัวอย่าง
“เราก็หมายมาดว่าชาติเชื้อ ถึงปะเสือก็จะสู้ดูสักหน”
พระอภัยมณี

3. ดากแล้วมิหนำเป็นซ้ำเป็นสองดาก
ความหมาย มีเรื่องลำบากเกิดขึ้นหับตัว แล้วมีเรื่องลำบากเกิดขึ้นอีกซ้ำอีก ทำให้ลำบากมากขึ้น
ความเป็นมา มีนิยายเล่าว่า ยายแก่คนหนึ่ง เป็นโรคดาก วันหนึ่งออกไปส้วม ผีเด็กเห็นเข้าก็ฉวยเอาไปเล่น ยายแก่ดีใจที่หายจากโรคก็มาเล่าให้ยายแก่อีกคนหนึ่งฟัง แล้วก็ไปส้วมนั้น ผีเด็กก็นำดากมาคืนที่เก่า แต่กลับโดนยายคนที่2 ทำให้ยายคนที่2เป็นดากมากขึ้นกว่าเดิม
4. ดาบสองคม
ความหมาย สิ่งที่เราทำลงไปอาจให้ผลทั้งทางดี และทางร้ายได้
ความเป็นมา เปรียบเหมือนกับดาบ ซึ่งถ้ามีคมทั้งสองข้างก็ย่อมเป็นประโยชน์ใช้ฟันได้คล่องแคล่วดี แต่ในขณะที่ใช้คมข้างหนึ่งฟันลง คมอีกด้านหนึ่ง อาจโดนตัวเองเข้าได้ การทำอะไรที่อาจเกิดผลดีและร้ายได้เท่ากัน จึงเรียกว่า เป็นดาบสองคม

5. ดูตาม้าตาเรือ
ความหมาย พูดหรือทำอะไรก็ตาม ให้ระมัดระวังพินิจพิเคราะห์ ว่ามีอะไรอยู่ข้างหน้า ข้างหลังบ้าง ไม่ให้ซุ่มซ่าม
ความเป็นมา มาจากการเล่นหมากรุก ซึ่งมีตัวหมากเรียกว่า “ม้า” และ “เรือ” ม้าเดินตามเฉียงทะแยงซึ่งทำให้สังเกตยาก ส่วนเรือเดินตายาวไปได้สุดกระดานเวลาเดินหมากอาจจะเผลอ ไม่ทันสังเกตตาที่ม้าอีกฝ่ายหนึ่งเดิน หรือไม่ทันเห็นเรืออีกฝ่ายหนึ่งที่อยู่ไกล เดินหมากไปถูกตาที่ม้าหรือเรือฝ่ายตรงข้ามสกัดอยู่ ก็ต้องเสียตัวหมากของตนไปให้คุ่แข่ง การดูหมากต้อง “ดูตาม้าตาเรือ” ของฝ่ายตรงข้าม เลยนำสำนวนนี้มาพูดกันเมื่อเวลาจะพูดหรือทำอะไรก็ตาม ให้ระมัดระวังพินิจพิเคราะห์ ว่ามีอะไรอยู่ข้างหน้า ข้างหลังบ้าง ไม่ให้ซุ่มซ่าม

6. ตกกระไดพลอยโจน
ความหมาย พลอยประสมทำไปในเรื่องที่ผู้อื่นเป็นต้นเหตุก็ได้ หรือเป็นเรื่องของตนเอง ไม่เกี่ยวกับผู้อื่นก็ได้
ความเป็นมา เมื่อเห็นว่าจำเป็นต้องทำตามไป สำนวนนี้มีความหมายเป็นสองทาง ทางหนึ่งผู้หนึ่งผู้อื่นเป็นไปก่อนแล้วตัวเองพลอยตามเทียบตามคำในสำนวนก็คือว่า เห็นคนอื่นตกกระไดตนเองก็พลอยโจนตาม อีกทางหนึ่งไม่เกี่ยวกับคนอื่น ตนเองรู้สึกตนว่าถึงเวลาที่ตนเองจะต้องทำโดยที่ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ ก็เลยประสมทำไปเสียเลย เทียบกับคำในสำนวนเทียบกับว่าตนเองตกกระไดแต่ยังมีสติอยู่ ก็รีบโจนไปให้มีท่าทางไม่ปล่อยให้ตกไปอย่างไม่มีท่า
ตัวอย่าง ในเสภาขุนช้างขุนแผน ตอนปลายงามเข้าหาศรีมาลา มีกลอนขุนแผนว่า
“งองามก็หลงงงงวย ไม่ช่วยไปข้างหน้าจะว้าวุ่น
ตกกระไดพลอยโผนโจนตามบุญ ทำเป็นหุนหันโกรธเข้าพลอยงาม”

7. ตกหลุม
ความหมาย ใช้พูดเมื่อ หกล้มคว่ำลงไปกับพื้น
ความเป็นมา สำนวนนี้มาจากการจับกบ ซึ่งรีบตะครุบไม่ทันให้กบกระโดดหนี พลาดท่าพลาดทางก็ล้มคว่ำลงไปกับพื้น ใครคว่ำหน้าลงไปจึงพูดว่า “ตะครุบกบ” บางครั้งก็พูดว่า “จับกบ”

8. บ่อนแตก
ความหมาย ใช้พูดเมื่อ มีคนทำการชุมนุมกันมากๆ หรือการมากินเลี้ยง เกิดเรื่องต้องทำให้หยุดชะงักเลิกไปกลางคัน
ความเป็นมา มาจากการติดบ่อนเล่นการพนัน ซึ่งมีคนมาเล่นกันมาก ขณะการเล่นก็ต้องมีการหยุดชะงักต้องเลิกไปกลางคัน เรียกว่า บ่อนแตก คำนี้เลยกลายมาเป็นสำนวน

9. ปราณีตีเอาเรือ
ความหมาย ช่วยด้วยความปราณี แต่กลับต้องถูกประทุษร้ายตอบ
ตัวอย่าง
“เอออะไรมาเป็นเช่นนี้ ช่วยว่าให้ดีก็มิเอา
มุทะลุดุดันกันเหลือ ปราณีตีเอาเรือเสียอีกเล่า”
สังข์ทอง พระราชนิพนธ์รัชกาลที่ 2

10.ปัดขาเก้าอี้
ความหมาย เจตนาหรือแกล้งทำให้ผู้ครองตำแหน่งหรือหน้าที่อันใด ต้องเสียหรือพ้นจากตำแหน่งหน้าที่นั้นไป เก้าอี้ หมายถึง เก้าอี้ที่สำหรับนั่งปฏิบัติงานประจำ ปัดเก้าอี้ คือไม่ได้นั่งปฏิบัติงานในตำแหน่งนี้อีก แล้ว
ตัวอย่าง
ในหนังสือนิพพานวังหน้า มีพระราชวิจารณ์ของรัชกาลที่ 5 ตอนหนึ่งว่า
“เมื่อรวบรวมความลงก็ไม่ผิดกับชาววังน่าชั้นหลัง ๆ แลไม่ปองร้ายกันถึงจะหักกันลงข้างหนึ่ง เป็นแต่ประมูลอวดดีกันนินทากัน แตะตีนกัน ซึ่งนับว่าเป็นแบบอันไม่ไห้ความเจริญแก่แผ่นดิน”

11. ผงเข้าตาตัวเอง
ความหมาย เมื่อเกิดปัญหาขึ้นกับตัวเอง หรือเกิดเรื่องอะไรเกี่ยวกับตัวเองแล้วตัวเองไม่สามารถแก้ไขได้
ความเป็นมา คนที่มีความรู้ความคิดดี มีสติ ปัญญาเฉลียวฉลาด ทำอะไรให้ใคร ๆ สำเร็จลุล่วงไปได้ แต่พอมีปัญหาหรือมีเรื่องอะไร เกิดขึ้นกับตัวเอง กลับหมดปัญญาที่จะแก้ไข

12. เผลอเรอกระเชอก้นรั่ว
ความหมาย เลินเล่อ ไม่เอาใจใส่ระวังดูแลให้รอบคอบ
ความเป็นมา มูลของสำนวนมาจากนิทานโบราณ ใน นนทุกปกรณัม เรื่องมีว่ามีพรานไปซุ่มช้อนปลากับภรรยา ภรรยานั้นเป็นกาลกิณีกระเดียดกระเชอก้นรั่วตามสามี สามีช้อนได้ปลามาใส่กระเชอ ภรรยาก็ไม่พิจารณา ปลาก็ลอดลงน้ำไป สามีไม่รู่ช้อนได้หลงใส่กระเชอไปเรื่อย ๆ ปลาก็ลอดไปหมดไม่เหลือ ระหว่างนั้นมีภรรยานายสำเภา เป็นหญิงดีมีสิรินั่งอยู่ท้ายเรือ เห็นปลาลอดลงน้ำก็ยิ้ม นายสำเภาเป็นกาลกิณี เห็นนางดูนายพรานแล้วยิ้มเข้าใจว่านางพอใจ พรานก็โกรธ จะให้นางไปเป็นเมียพราน ในที่สุดนายสำเภากับนายพรานก็ตกลงแลกเมียกัน เมียนายพรานมาอยู่กับนายสำเภา ทำให้พรานเจริญขึ้นเป็นเสนาบดีของพระเจ้าแผ่นดิน แล้วต่อมาได้เป็นเจ้าพระยาแผ่นดิน นั่นคือใครที่ทำอะไรเผลอเรอเลินเล่อทำอะไรไม่รอบคอบก็พูดกันว่า “เผลอเรอกระเชอก้นรั่ว”

13. แผ่สองสลึง
ความหมาย นอนหงายแผ่ สำนวนนี้มักใช้กับคนที่ลื่น หกล้มลงไปนอนหงายแผ่
ความเป็นมา มูลของสำนวนมาจากเงินเหรียญที่ใช้แทงถั่วโปตามโรงบ่อน บ่อนถั่วมีไม้ขอยาวปลายเป็นห่วงกลมสำหรับคล้องเงินที่คนแทง เวลากินก็คล้องเงินลากมา หรือเอาไปจ่ายคนที่แทงถูกก็ได้ เหรียญสลึงกับเหรียญสองสลึงเป็นเหรียญแบบติดเสื่อใช้ไม้ขอคล้องเกี่ยวไม่ติด นายบ่อนจึงทุบเหรียญสลึงกับเหรียญสองสลึงให้พับงอ ที่แบบแผ่ติดตามรูปเดิมไม่ค่อยมี ดังนั้นเมื่อพบสลึงกับเหรียญสองสลึง ให้พับงอสำหรับให้ไม้ขอได้ง่าย สำนวน “แผ่สองสลึง” แล้วเอามาใช้เป็นสำนวนพูด เมื่อใครลื่นล้มลงไปนอนแผ่ ก็พูดกันว่าลงไป แผ่สองสลึง

14. แพแตก
ความหมาย ญาติพี่น้องหรือคนที่เคยอยู่ร่วมกันกระจัดกระจายกันไป เช่นพูดว่าสิ้นผู้ใหญ่เสียคนก็เป็นแพแตก
ความเป็นมา มูลของสำนวนมาจากแพไม้ที่มัดรวมกันเป็นแพ เช่นแพไม้สัก แพไม้รวก ฯลฯ หวายหรือเครื่องที่รัดขาด ไม้นั้นก็กระจายเพ่นพ่านไป เรียกว่า แพแตก สำนวนนี้ใช้กับคนที่อยู่ร่วมกันมากๆ
“มึงจึงจ้วงจาบว่าหยาบคาย แสนร้ายเหี้ยมเกรี้ยมไม่เจียมตัว
พลัดพ่อพลัดแม่เป็นแพแตก กลับมาดันแดกเอาเจ้าผัว”
บทละครรามเกียรติ์ของกรมพระราชวังบวร ฯ

15. พูดจนโดนตอ
ความหมาย พูดเรื่องเกี่ยวกับผู้ใดผู้หนึ่งโดยไม่รู้ว่าผู้นั้นอยู่ในที่นั้นด้วย “ตอ” คือตอไม้ที่ตั้งโด่อยู่ในน้ำ หรือพื้นดินเรามักจะเอามาเปรียบกับคนที่ปรากฏอยู่เฉย ๆ เช่นพูดว่า นั่งเป็นหัวหลักหัวตอ


16. ม้าดีดกระโหลก
ความหมาย กิริยาท่าทางผลุบผลับกระโดกกระเดกลุกลน
ความเป็นมา คนที่มีกิริยาท่าทางผลุบผลับกระโดกกระเดกลุกลน มักใช้ว่าผู้หญิงที่ไม่เรียบร้อย จะลุกจะนั่งหรือเดินพรวดพราดเตะนั่นโดดนี่กระทบโน่นไปรอบข้างที่พูดว่า “ดีดกระโหลก” ฟังดูเป็น “ม้าดีดกระลา” แต่ความจริงเปรียบเหมือนกิริยาของม้า คือม้าที่พยศมักจะมีกิริยาที่เรียกว่า ดีด กับ โขก อยู่ด้วยกัน
ตัวอย่าง
“เหมือนม้าดีขี่ขับสำหรับรบ ทั้งดีดขบโขกกัดสะบัดย่าง”
กลอนพระอภัยมณี

17. เรือล่มเมื่อจอด
ความหมาย ทำหรือปฏิบัติอะไร ๆ ผ่านพ้นมาเรียบร้อย พอจะสำเร็จหรือพอเสร็จกลับเสียไม่สำเร็จไปได้
ความเป็นมา เปรียบเหมือนแจวพายเรือมาถึงที่หมาย พอจอด เรือก็ล่ม สำนวนนี้ใช้กับการพูดดีเรื่อยมา พอจะจบก็ลงไม่ได้ “เรือล่มเมื่อจอด” มักจะมีต่อว่า ตาบอดเมื่อแก่
“เรือ เทียบถึงท่าแล้ว และมา
ล่ม ละลายโภคา ชวดใช้
เมื่อหนุ่มเท่าชรา แสวงสิ่ง ใดเฮย
จอด จ่อจวนเจียนได้ สิ่งนั้นศูนย์เสีย”
โครงสุภาษิตเก่า

18. ล่มหัวจมท้าย
ความหมาย ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกัน ยากมีดีจนด้วยกัน ฯลฯ
ความเป็นมา สำนวนนี้มาจากเรือ ผัวเมียลงเรือไปค้าขาย ช่วยกนทำมาหากิน การไปเรือมักจะพูดกันว่า ผัวถือท้ายเมียถือหัว หรือผัวแจวท้ายเมียพายหัว เป็นการช่วยกัน เมื่อเรือล่มก็จมไปด้วยกัน จึงพูดกันว่า จมหัวจมท้าย

19. เลือดเข้าตา
ความหมาย มุ ทะลุ ดื้อทำไม่คิดถึงผลได้ผลเสีย
ความเป็นมา มูลของสำนวนมาจากการชกมวย หรือการต่อสู้ เมื่อถูกต่อยหรือถูกตี ถูกฟันแทงแถวหน้าผาก หรือคิ้วแตกเป็นแผล เลือดไหลเข้าตา ก็เกิดมานะมุทะลุเข้าสู้อย่างไม่คิดชีวิต เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ต้องมุมานะโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง
ตัวอย่าง เสียพนันมากก็ยิ่งเล่นใหญ่ จึงควรพูดว่า เลือดเข้าตา

20. วัดถนน
ความหมาย หกล้มราบลงไปกับพื้น
ความเป็นมา เมื่อหกล้มราบลงไปกับพื้น แล้วจะใช้พูดล้อคนที่ล้มว่าลงไปวัดถนนว่ากว้างยาวเท่าไหร่

21. วิ่งเป็นไก่ตาแตก
ความหมาย ซุกซน ดั้นด้นไปอย่างงมงาย
ความเป็นมา ซึ่งมาจากการเล่นชนชนไก่ ไก่ที่ถูกคู่ชนแท่งด้วยเดือยจนตาแตกไม่เห็นอะไร มักจะวิ่งหนีซุกซนไปทั้ง ๆ ที่ไม่เห็นทาง
ตัวอย่าง ในพระราชหัตถเลขารัชกาลที่ 5 ถึงเจ้าพระยาธรรมา ฯ แห่งหนึ่งว่า
“ไปด่วนหักโหมเอางาใหญ่ ๆ ดีๆ กลึงเสียถ้าต่อไปมันดีขึ้นจะต้องวิ่งหางาตาแตก”

22. สี่ตีนยังรู้พลาดนักปราชญ์ยังรู้พลั้ง
ความเป็นมา คำว่า สี่ตีน โบราณหมายถึงช้าง ในเรื่องนางนพมาศว่า “ถึงบุราณท่าว่าคชสารสี่ตีน ยังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้ล้ม ใครอย่าได้ประมาท คำอันนี้ก็เป็นจริง” เพราะว่าช้างเวลาก้าวเท้าจะก้าวหนักมั่นคงมากกว่าสัตว์อื่น ๆ
ตัวอย่าง
“สี่ตีน คือช้างใหญ่ เยี่ยมเขา
ยังพลาด พลิกแพลงเบา บาทเท้า
นักปราชญ์ อาจองเอา อรรถกล่าว ได้นา
ยังพลั้ง พลาดขาดค้าง อย่าอ้างอวดดี”
โครงสุภาษิตเก่า

23.หัวชนกำแพง
ความหมาย สู้ไม่ถอย สู้จนถึงที่สุด ฯลฯ ไปติดกับกำแพงไปไหนไม่ได้ ก็ยังสู้
ตัวอย่าง บทละครดึกดำบรรพ์ของสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศร์ ฯ
“น้อย ฤแนะ เป็นไรมีล่ะ คงได้ดูดีหรอก เล่นกะมันจนหัวชนกำแพงซีน่ะ”

24. หัวราน้ำ
ความหมาย เมาเต็มที่
ความเป็นมา สมัยก่อนไทยเรามีการคมนาคมทางน้ำเป็นสำคัญใช้เรือ เป็นพาหนะทั้งในธุรกิจติดต่อค้าขาย ตลอดจนการเล่นรื่นเริงต่าง ๆ ในการเล่น
ตัวอย่าง แข่งเรือ คนในเรือมักจะกินเหล้าเมามายกันเต็มที่แรงตัวไม่อยู่ หัวลงไปราอยู่กับพื้นน้ำ จึงเกิดเป็นสำนวนขึ้นมา
25. หัวหกข้นขวิด
ความหมาย ทำอะไรแผลง ๆ ทำอะไรโลดโผน ไม่ได้รักษากิริยามารยาท ทำตามใจชอบ
ตัวอย่าง
“เป็นการกินสำหรับเกียรติยศ จะหยิบฉวยอะไรแต่ละทีง้างมือไม่ค่อยถนัด สู้กินกันตามธรรมดาอย่างบ้านของตัวเองไม่ได้ หัวหกข้นขวิดก็ไม่ต้องเกรงใจใคร”
ละคอนไทยไปอเมริกา

26. โอษฐภัย
ความหมาย พูดไม่ดีจะเป็นภัยกับตัวเอง เป็นภัยที่เกิดจากปาก ส่วนใหญ่มุ่งไปถึงการพูดที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง การดูหมิ่น พระบรมเดชานุภาพ การพูดเป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐบาล


อ่านต่อ : http://writer.dek-d.com/Writer/story/viewlongc.php?id=568119&chapter=43#ixzz1AeDR1QlY

30 ความจริง!! ที่ผู้หญิงเถียงไม่ได้ และไม่กล้าเถียง

1.ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนแต่มีของ 4 อย่างที่ผู้หญิงต้องหยุดดู..ตุ้มหู กระเป๋า รองเท้า และเสื้อผ้า

2.ผู้หญิงชอบกิน เค้ก ช็อกโกแลต และชอบบ่นว่าตัวเองอ้วน

3.เวลาเธอถามว่าเธออ้วนไปหรือเปล่า? ถ้าคุณตอบว่าเปล่า เธอจะไม่เชื่อ แต่ถ้าคุณตอบว่าอ้วน เธอก็จะโกรธ

4.หากจะอธิบายเรื่องเวรกรรมให้ผู้หญิงเข้าใจให้ยกเรื่องสลิปบัตรเครดิตมาเป็นตัวอย่าง

5.ผู้หญิงชอบให้คนมาจีบ แต่ไม่ได้ชอบทุกคนที่เข้ามาจีบ

6.ผู้หญิงเกิดมาคู่กับครีมทาผิวและโฆษณาครีมทาผิวทุกตัวได้ผลเสมอ

7.ผู้หญิงไม่เคยเหน็ดเหนื่อยจากการเดินชอปปิ้ง และหากนับก้าวระหว่างที่เธอเดิน คุณคงไม่เชื่อในระยะทางที่วัดได้

8.เวลาที่ผู้หญิงบอกว่าไม่มีอะไร แปลว่ามีอะไร และผู้ชายไม่รู้หรอก

9.เวลาผู้หญิงร้องไห้ เธอจะต้องการการปลอบโยน แต่ถ้าไปถาม เธอจะบอกว่า "ไม่ต้อง"

10.ผู้หญิงสนใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นลายของกระเป๋าหรือตุ้มหู อย่าถามความเห็นของคุณผู้ชายเลยเพราะเขามองไม่ออกจริงๆ


11.ผู้หญิงใช้ลิปสติกไม่เคยหมดแท่ง

12.ผู้หญิงชอบสมัครฟิตเนสและจินตนาการว่าตัวเองจะฟิตแอนด์เฟิร์มขึ้นในสามเดือนข้างหน้า แต่หลังสมัครเสร็จเธอจะแวะไปที่ร้านกิฟท์ช็อปที่อยู่หน้าฟิตเนสและนานๆ จะมาที่นี้สักที

13.ผู้หญิงเกิดมาคู่กับดอกไม้ เมื่อได้รับดอกไม้ยิ่งช่อใหญ่ยิ่งดี

14.ผู้หญิงจำวันทุกวันเก่งมาก ไม่ว่าจะเป็นวันแรกที่เจอ วันแรกที่คบ วันครบรอบ วันเกิด และวันอะไรอีกมากมายและนี่ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้เธอทะเลาะกับแฟน

15.ผู้หญิงชอบอ่านดวงในแมกกาซีนและบอกว่าแม่นมาก โดยที่ผู้ชายไม่ค่อยเชื่อ

16.คำขอโทษที่ดีที่สุดคือ "ไปชอปปิ้งมั้ย?"

17.ผู้หญิงไม่รู้ว่าที่เปิดกระโปรงรถอยู่ไหน เพราะไม่รู้ว่าจะเปิดมันไปทำไม หรือถึงเปิดเป็นก็ไม่รู้จะทำอะไรกับมันดี

18.เวลาทะเลาะกัน เธอจะบอกว่าไม่ต้องโทรมาอีกแล้ว แต่หลังจากวางหู เธอจะหันไปมองโทรศัพท์มือถือบ่อยๆ พอกลับมาดีกัน เธอจะต่อว่า ว่าตอนนั้นทำไมไม่โทรมา (อ้าว)

19.ผู้หญิงสนใจเรื่องราวของเพื่อนเรากับแฟน(ของเพื่อนเรา)มากกว่าตัวเรา(ที่เป็นเพื่อนมันจริงๆ)เสียอีก

20.ผู้หญิงกินข้าวเป็นมื้อจริงๆน้อย กินขนมระหว่างมื้อเยอะ

21.ผู้หญิงผมตรงอยากผมหยิก ผู้หญิงผมหยิกอยากผมตรง

22.กระเป๋าถือของผู้หญิง มีน้ำหนักมากกว่าสายตาประเมิน และข้างในบรรจุของไว้มากมาย แม้เธอจะไม่ใช้ทุกอย่างก็ตาม

23.เวลากลุ่มเพื่อนผู้หญิงนัดกัน มักจะเม้าท์เรื่องของแฟนอย่างสนุกสนาน ผู้ชายรู้ดีเลยแค่ขับรถไปส่งแล้วค่อยไปรับตอนจะกลับอีกครั้ง

24.ตุ๊กตาส่วนใหญ่ไม่มีปาก เพราะมีผลการวิจัยว่า การไม่มีปากทำให้ผู้หญิงรู้สึกเหมือนว่าตุ๊กตากำลังรับฟังและเข้าใจความรู้สึกของธอ ไม่ว่าเธอจะรู้สึก สุข เศร้า เหงา และรัก

25.ในที่ทำงาน มักจะมีเพื่อนร่วมงานผู้หญิงที่ไม่ค่อยถูกกับเพื่อนร่วมงานผู้หญิงด้วยกัน อย่างน้อยก็คู่หนึ่งละ

26.เวลาผู้หญิงนินทากันเอง แม้ผู้ชายจะทำหน้าเฉยๆ แต่ก็อยากรู้อยู่เหมือนกัน

27.ผู้หญิง ทุกคนต้องมีตู้เสื้อผ้าสองตู้ขึ้นไป และเมื่อถึงสี่ตู้เมื่อไหร่จะเริ่มบริจาคเสื้อผ้าที่ไม่ใช้ให้คนอื่น และตอนที่เริ่มโละของจะมีประโยคประเภท "เสื้อตัวนี้ยังไม่ได้ใส่เลย!!!"

28.ผู้หญิงมีเคล็ดลับในการแสดงความเป็นเจ้าของ เช่นติดรูปถ่ายคู่ไว้ในกระเป๋าตังค์ของเขา เอาตุ๊กตาไว้หน้ารถเขา วางตุ้มหูระยิบระยับไว้ที่ห้องรับแขกในบ้านเขา ถือเป็นสิ่งเล็กน้อยที่แฝงไปด้วยเทคนิคล้ำเลิศ

29.เริ่มต้นวันใหม่ด้วยประโยค "วันนี้คุณสวยจัง" จะทำให้เธออารมณ์ดีไปทั้งวัน

30.ดู เหมือนว่าผู้หญิงทุกคนจะชอบชอปปิ้ง ฝันอยากขึ้นปกแมกกาซีนและอยากรักกับพระเอกฮอลลีวู้ด แต่ความจริงคงยากที่ชีวิตจริงจะเป็นอย่างนั้น ผู้หญิงทุกคนจึงมีอีกความฝันเล็กๆ อีกอันซ่อนอยู่ นั่นก็คือ การได้ ทำกับข้าวเย็นให้แฟน นั่งดูทีวีด้วยกันตอนค่ำ นอนกอดกันตอนกลางคืน ตื่นมาจัดที่นอนและตื่นขึ้นมาเตรียมข้าวเช้าให้ และอยากให้เขาบอกว่า "ผมรักคุณ" และหอมแก้มหนึ่งทีก่อนไปทำงาน (คุณว่าจริงมั้ย)?


อ่านต่อ : http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1985504#ixzz16rg2gWXY

4 ของสำคัญที่เด็กไทยมัก "ลืม" นำไปเมืองนอก

ที่ชาร์ทแบต

เป็นของยอดฮิตที่น้องๆ ชอบลืมกันบ่อยมากกกก โดยเฉพาะที่ชาร์ทแบตของโทรศัพท์มือถือและกล้องถ่ายรูป บางคนนี่ลงทุนซื้อกล้องใหม่ไฮโซเป็นหมื่น แต่ดั๊นนนลืมเอาที่ชาร์ทแบตกล้องไปซะอย่างนั้น - -" ดังนั้นขอแนะนำว่า พยายามเลือกซื้อกล้องรุ่นที่ใช้ถ่านเป็นแบตได้นะคะ เพราะถึงลืมเอาที่ชาร์ทไป ก็ค่อยหาซื้อถ่านเอามาเปลี่ยนได้ จะได้ไม่วุ่นวายด้วยเนาะ ^^
คอนแทคเลนส์

หลายคนคิดว่า โอ๊ย คอนแทคเลนส์อันเล็กนิดเดียว ค่อยไปซื้อเอาที่เมืองนอกก็ได้ แต่ขอแนะนำว่าให้เอาไปจากเมืองไทยดีกว่าค่ะ เพราะที่เมืองนอกนั้นราคาค่อนข้างสูง แถมการจะไปซื้อคอนแทคเลนส์นั้น ไม่ใช่เดินสุ่มสี่สุ่มห้าเข้าไปซื้อได้นะคะ ต้องมีใบรับรองจากจักษุแพทย์ด้วย ดังนั้นเตรียมมาจากไทยดีที่สุดค่ะ เพราะราคาถูกแสนถูก ส่วนน้ำยาล้างคอนแทคเลนส์นั้น ไม่ต้องพกไปนะคะ หนักกระเป๋าเปล่าๆ ไปซื้อเอาที่นั่นเลยดีกว่าค่ะ
ตัวแปลงไฟฟ้า

อย่าลืมว่า ในต่างประเทศใช้ไฟไม่เหมือนบ้านเรา บางประเทศใช้ 220 โวลต์เหมือนกันแต่หัวปลั๊กไม่เหมือนกัน ก็ใช้เสียบไม่ได้อีก ดังนั้นสิ่งที่น้องๆ ต้องมีคือ adapter หรือตัวแปลงไฟค่ะ สามารถหาซื้อได้ตามห้างหรือร้านขายอุปกรณ์ไฟฟ้าทั่วไป ขอแนะนำให้ซื้อแบบ international adapter เลยนะคะ ตัวเดียวใช้ได้ทั่วโลก ราคาก็มีตั้งแต่ร้อยกว่าบาทไปจนถึง 5-6 ร้อยเลยค่ะ

66 ไอเดียของใช้จากญี่ปุ่น

10 อันดับปลาน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในโลก




อันดับที่ 1 ปลาอริเกเตอร์การ์

ชื่อวิทยาศาสตร์ Atractosteus spatula ถิ่นอาศัย ทางตอนใต้ของทวีปอเมริกาเหนือ ลุ่มแม่น้ำมิซิสซิปปี้ ขนาดเมื่อโตเต็มวัย ประมาณ 350 ซม. น้ำหนัก ประมาณ127 กก. อายุยืนยาว



อันดับที่ 2 ปลากระเบนราหู(น้ำจืด)

ชื่อวิทยาศาสตร์ Himantura chaophraya ถิ่นอาศัย ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา แม่กรอง และโขง ขนาดเมื่อโตเต็มวัย ประมาณ 500 ซม.(เส้นผ่านศูนย์กลางขนาดจาน) น้ำหนัก ประมาณ 600 กก.





อันดับที่ 3 ปลาฉลามปากเป็ดจีน Chinese paddlefish

ชื่อวิทยาศาสตร์ Psephurus gladius ถิ่นอาศัย ลุ่มแม่น้ำแยงซีเกียง ขนาดเมื่อโตเต็มวัย ประมาณ 700 ซม. น้ำหนัก ประมาณ300 กก.(สูญพันธุ์ไปแล้ว)



อันดับที่ 4 ปลาเวลส์ แคทฟิช Wels Catfish

ชื่อวิทยาศาสตร์ Silurus glanis ถิ่นอาศัย ลุ่มแม่น้ำขนาดใหญ่ในทวีปยุโรป ขนาดเมื่อโตเต็มวัย ประมาณ 500 ซม. น้ำหนัก ประมาณ 306 กก.



อันดับที่ 5 ปลาเทพา

ชื่อวิทยาศาสตร์ Pangasius sanitwongsei ถิ่นอาศัย ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ลุ่มแม่น้ำป่าสัก ลุ่มแม่น้ำโขง ขนาดเมื่อโตเต็มที่ ประมาณ 300 ซม. น้ำหนัก ประมาณ 300 กก.



อันดับที่ 6 ปลากระโห้

ชื่อวิทยาศาสตร์ Catiocarpio siamensis ถิ่นอาศัย ลุ่มแม่น้ำแม่กรอง เจ้าพระยา แม่น้ำโขง ขนาดเมื่อโตเต็มวัย 300 ซม. น้ำหนัก 300 กก.




อันดับที่ 7 ปลาอราไพมา หรือ ปลาช่อนอเมซอน

ชื่อวิทยาศาสตร์ Arapaima gigas ถิ่นอาศัย ลุ่มแม่น้ำอเมซอน ขนาดเมื่อโตเต็มวัย ประมาณ 450 ซม. น้ำหนัก ประมาณ 200 กก.



อันดับที่ 8 ปลาพิไรบ้า

ชื่อวิทยาศาสตร์ Brachyplatystoma filamentosum ถิ่นอาศัย ลุ่มแม่น้ำอเมซอน และใกล้เคียง ขนาดเมื่อโตเต็มวัย ประมาณ 360 ซม. น้ำหนัก 200 กก.



อันดับที่ 9 ปลากะพงแม่น้ำไนล์ หรือ Nile Perch

ชื่อวิทยาศาสตร์ Lates niloticus ถิ่นอาศัย ลุ่มแม่น้ำไนล์ ขนาดเมื่อโตเต็มวัย ประมาณ 200 ซม. น้ำหนัก 200 กก.



อันดับที่ 10 ปลามาเซียร์

ชื่อวิทยาศาสตร์ Tor putitora ถิ่นอาศัย ลุ่มแม่น้ำพรหมบุตร ขนาดเมื่อโตเต็มวัย ประมาณ 275ซม. น้ำหนัก ไม่ระบุ

http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1986475

6 เทคนิคการดูแลผิวหน้าด้วยผลไม้

1.สูตรหน้าใสด้วยน้ำผึ้งผสมมะนาว

ส่วนผสม: น้ำผึ้ง 1 ถ้วย

น้ำมะนาว 1 ช้อนชา

วิธีทำ: ผสมน้ำผึ้งกับน้ำมะนาวให้เข้ากัน นำมานวดให้ทั่วใบหน้าประมาณ 15 นาที หลังจากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาด

■มะนาว จะช่วยขจัดเซลล์ผิวเช่นเดียวกับครีมที่ผสมกรด AHA ส่วนน้ำผึ้งจะทำให้ผิวหน้านุ่มและชุ่มชื้น

2. สูตรหน้าใสด้วยแอปเปิ้ล

ส่วนผสม: แอปเปิ้ล ปอกเปลือกแล้วคว้านเอาเฉพาะเนื้อ

น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ: นำเนื้อแอปเปิ้ลมาปั่นรวมกับน้ำผึ้ง ทาให้ทั่วใบหน้าแล้วนวดเบาๆ ทิ้งไว้ 15 นาที หลังจากนั้นล้างออกด้วยน้ำเย็น

■สูตรนี้จะช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออกไป เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า ทำให้ใบหน้าดูสดใสเปล่งปลั่ง อีกด้วย

3. สูตรกระชับรูขุมขน

ส่วนผสม: กล้วยหอม แตงกวาหรือมะเขือเทศ เลือกใช้อย่างใดอย่างหนึ่งปอกเปลือก เอาเมล็ดออกให้หมดแล้วหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ

น้ำผึ้งหรือนมเปรี้ยว

วิธีทำ: ใช้กล้วยหอม แตงกวาหรือมะเขือเทศก็ได้ เติมน้ำผึ้งหรือนมเปรี้ยว นำไปปั่นให้ละเอียดจนเป็นเนื้อครีม นำมาพอกให้ทั่วใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่น

■สูตรนี้จะ ช่วยทำความสะอาดใบหน้า และกระชับรูขุมขนและบำรุงผิวให้ชุ่มชื้น

4. สูตรครีมทำความสะอาดผิวหน้า (Cleanser)

ส่วนผสม: โยเกิร์ต ½ ถ้วย

น้ำมันดอกทานตะวัน

มะนาวสด1½ ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ: ผสมโยเกิร์ต น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมะนาวสดให้เข้ากัน นำมาพอกให้ทั่วหน้าประมาณ 5 นาที ทุกเช้าและก่อนนอน แล้วจึงล้างออก ด้วยน้ำสะอาด

■สูตรนี้ใช้ได้กับทุกสภาพผิว จะช่วยทำความสะอาดผิวหน้าได้อย่างล้ำลึก และบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นอีกด้วย

5. สูตรสาวผิวแห้ง มอยเจอร์ไรเซอร์จากกล้วย

ส่วนผสม: กล้วย 1 ผล

น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ: บดกล้วยกับน้ำผึ้ง ผสมให้เข้ากัน นำมาพอกให้ทั่วใบหน้าทิ้งไว้ 15 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่น จะทำให้ผิวหน้าชุ่มชื้นขึ้น

■สูตรนี้เหมาะกับผิวแห้ง

6. สูตรพอกหน้าใสจากแตงกวา

ส่วนผสม: แตงกวา 1 ผล หั่นแตงกวาเป็น ชิ้นบางๆ

ไข่ไก่ 1 ฟอง(ใช้เฉพาะไข่ขาว)

น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ: นำแตงกวา ไข่ไก่(ใช้เฉพาะไข่ขาว)และมะนาว ไปปั่นจนละเอียดเป็นเนื้อเดียวกัน นำมาพอกให้ทั่วใบหน้า เว้นรอบปากและดวงตา ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วจึงล้างหน้าตามปกติ หมั่นทำบ่อยๆ ทุกสัปดาห์ จะช่วยลดความมันส่วนเกิน และยังช่วยกระชับรูขุมขน ผิวหน้าจะ ดูเนียนเรียบและชุ่มชื้น

http://lady.one.in.th/6-%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%84%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%9C%E0%B8%B4%E0%B8%A7/

47 วิธีทำตัวให้เป็นคนน่าคบหา

1. อย่าบ่นนะจ๊ะ
2. อย่าขี้งกล่ะ
3. พูดเพราะๆ น้ำเสียงนุ่มนวล
4. รู้จักชมคนอื่นเค้าบ้าง
5. อย่าตำหนิคนอื่นล่ะ
6. อย่าพูดเดาใจหรือทายใจคนอื่นให้มากนักนะ
7. ไม่วิจารณ์หรือตัดสินคนอื่นอย่างผิวเผิน
8. รู้จักพูดคล้อยตามคนอื่นบ้างก็จะดีนะ
9. พูดยกย่องบุพการีของเค้ามั้งก็ดีนะ
10. อย่าแช่งตัวเองว่าซวยให้คนอื่นได้ยินล่ะ
11. หัดเป็นผู้ฟังที่ดี
12. ไม่โต้แย้ง เรื่องความเชื่อของใคร
13. ไม่พูดแทรกคนอื่น
14. วางตัวเป็นกลาง ไม่เอียงซ้ายขวา
15. อย่าโมโหง่ายเลยนะ ไม่ดี
16. อย่านินทาลับหลังล่ะ
17. ให้ความสำคัญกับผู้ที่คุยอยู่กับเรา
18. อย่าตำหนิหรือดูถูกใครต่อหน้าคนอื่น
19. อย่าสาบานบ่อยๆล่ะ ถ้าทำไม่ได้จะอายเค้า
20. อย่าลืมพูดเพราะๆก่อนจะจากกัน
21. รักษาคำสัญญาเสมอๆ
22. ไม่พูดถึงเรื่องที่ไม่ดี
23. ไม่พูดประชดใคร
24. อย่างอนง่าย อย่าแซวคนอื่นจนติดเป็นนิสัย
25. ไม่แสดงกิริยาท่าทางจนออกนอกหน้า
26. มีมารยาทในการคุย
27. อย่าพูดคำหยาบล่ะ
28. ทักคนที่เรารู้จักกันทุกครั้งที่เจอกัน
29. รู้จักกล่าวคำว่า "ขอบคุณ" "ขอโทษ"
30. รู้จักปลอบคนอื่นในยามที่เค้าเสียใจ
31. อย่าล้อปมด้อยคนอื่น
32. ไม่โอ้อวดตัวเอง
33. ไม่พยายามเปลี่ยนแปลงจิตใจใคร เพราะเค้าไม่ชอบหรอก
34. อย่าประเมินค่าตัวเองสูงไป
35. รู้จักใจเขาใจเราเสมอๆ
36. อดทนต่อนิสัยแปลกๆของคนอื่นให้ได้
37. อย่ามองหาศัตรู ไม่งั้นคุณจะได้ศัตรู
38. มีอารมณ์ขัน แต่ถ้าขันมากนักก็ไม่ดีนะ
39. อย่าแสดงความกลัวให้คนอื่นเห็น
40. ให้โอกาสคนอื่นเสมอๆ
41. ไม่แสดงกิริยาที่ไม่ดี
42. ไม่ดูถูกคนอื่น
43. ชื่นชมธรรมชาติ ไม่ทำลายธรรมชาติ
44. อย่าเมินเฉยกับคนรัก หรือคนสนิทเด็ดขาด
45. เป็นคนตรงต่อเวลา
46. อย่าทำอะไรแบบรีบเร่ง
47. รู้จักคิด ก่อนที่จะทำ

คนโง่ คนฉลาด คนเจ้าปัญญา (อยู่ที่คุณจะเลือก)

ว่าด้วยการทำงาน
คนโง่ ทำงานเพื่อเงิน จึงได้เงินมาอย่างยากเย็น และมักไม่ได้คุณค่าอื่น ๆ ของงาน
คนฉลาด ทำงานเพื่องาน จึงได้ผลงานที่ยิ่งใหญ่ และได้เงินตามมาโดยง่าย
คนเจ้าปัญญา ทำงานเพื่อหยิบยื่นคุณค่าแก่สังคม เขาจึงได้ผลงานที่น่าชื่นชม เงิน ชื่อเสียงและมิตรมหาศาลย่อมตามมาเสมอ


ว่าด้วยผู้พูดคนโง่ ชอบให้อารมณ์พูด จึงผิดพลาดมาก ล้มเหลวบ่อย
คนฉลาด ชอบใช้เหตุผลพูด จึงถูกต้องมากแต่มักไร้ความรู้สึก และประสบแต่ความสำเร็จอันแห้งแล้ง
คนเจ้าปัญญา ชอบใช้ธรรมะพูด จึงบริสุทธิ์เหนือถูกเหนือผิด และเป็นหนึ่งเดียวกับความสำเร็จโดยธรรม


ว่าด้วยการพูดจา
คนโง่ ชอบเถียง เขาจึงได้การทะเลาะและความบาดหมางแทนความรู้
คนฉลาด ชอบถาม เขาจึงได้ความรู้และมิตรภาพมากกว่าความแตกแยก
คนเจ้าปัญญา ชอบเฉยสังเกตลึก เข้าใจสิ่งต่าง ๆ อย่างลึกซึ้ง แล้วจึงนำเสนออย่างเหมาะสม


ว่าด้วยความโง่และความฉลาดคนโง่ ชอบคิดว่าตนฉลาดแล้ว จึงดักดานอยู่กับความโง่ของของตนตามที่เป็น
คนฉลาด ชอบคิดว่าตนโง่ จึงชอบแกล้งโง่ และมักโง่ได้สมปรารถนาในที่สุด
คนเจ้าปัญญา ย่อมเห็นความโง่และความฉลาดที่ซ้อนกันอยู่ และรู้วิธีที่จะยกจิตสู่ปัญญายิ่ง ๆ ขึ้นไป จึงค่อย ๆ หายโง่ และเลิกฉลาดโดยลำดับ


ว่าด้วยความคิดคนโง่ ทำก่อนแล้วถึงคิด จึงผิดพลาดอยู่เนือง ๆ ต้องเปลืองเวลาและความรู้สึกตามแก้ปัญหาไม่สิ้นสุด
คนฉลาด คิดมากก่อนแล้วถึงทำ จึงเพ้อเจ้ออยู่เป็นประจำ แม้ประสงค์จะทำดีมากแต่ทำได้น้อง เพราะเขม่าความคิดปิดกั้นความหาญกล้า
คนเจ้าปัญญา คิดไปทำไป จึงทำได้อย่างที่คิด และคิดพอดีที่ทำ ประหยัดพลังงานและบริหารเวลาได้เหมาะสม ลดความหลอนป้องกันความผิดพลาดขื่นขมและประสบความสำเร็จโดยไม่เหน็ดเหนื่อย


ว่าด้วยการรู้จักแจ้งตนเองคนโง่ อยู่กับตนก็ไม่รู้จักตน จึงกลัวตนไปต่าง ๆ นานา
คนฉลาด อยู่กับตนและรู้จักตนดี แต่ไม่รู้สิ่งที่ดีกว่าตน
คนเจ้าปัญญา ย่อมรู้จักตนดีที่สุดจนทะลุความไม่มีตน จึงบริหารตนได้เสมือนสร้างสรรค์ฟองสบู่ ใช้ประโยชน์จนสุดกู่แล้วก็สลายมลายวับไป


ว่าด้วยการอวดตนคนโง่ ชอบอวดตัว เขาจึงได้รับความหมั่นไส้ การต่อต้าน และ ความเจ็บปวดเป็นรางวัล
คนฉลาด ชอบถ่อมตัว เขาจึงได้รับความเห็นใจ การดูหมิ่น และการช่วยเหลือเป็นรางวัล
คนเจ้าปัญญา ย่อมมั่นใจตนแต่ไม่นิยมแสดงตัว ไม่ยกตน และ ไม่ถ่อมตัว แต่บริหารสัมพันธภาพเพียงเพื่อผลวางตน และ สำแดงบทบาทตามหน้าที่ เขาจึงได้รับความเคารพ และ ความเชื่อถือเป็นรางวัล


ว่าด้วยความเก่งกาจคนโง่ มัวอวดเก่ง จึงไม่มีใครเติมความเก่งให้กับเขาอีก
คนฉลาด ชอบเรียนรู้เพื่อพัฒนาความเก่งให้ยิ่งขึ้น และเอาความเก่งมาใช้โดยไม่อวด จึงได้ผลงานดี แต่อาจไม่ทุกเรื่อง และอาจไม่ยั่งยืน
คนเจ้าปัญญา หาความเก่งไม่เจอ แต่ทำอะไรก็ยอดเยี่ยมเสมอ เพราะมองเห็นทุกอย่างในตนและนอกตนเป็นธรรมดา ทุกคุณสมบัติจึงเป็นปกติ และ ยั่งยืนสำหรับเขา


ว่าด้วยความรักสัมพันธ์คนโง่ ชอบขอความรักและความเห็นใจ แต่มักได้รับความสมเพชตอบแทนเป็นประจำ
คนฉลาด ชอบให้ความรักความเข้าใจ และมักได้รับความหวังพึ่งพิงตอบเนื่องๆ
คนเจ้าปัญญา ชอบให้ปัญญา ที่จะให้ทุกคนรักและเข้าใจตนเอง จึงได้รับความนับถือและความมีบุญคุณตอบแทนเสมอ


ว่าด้วยการสนองตอบผู้มีพระคุณคนโง่ เนรคุณผู้มีบุญคุณ จึงไม่มีใครอยากทำดีกับเขาอีก
คนฉลาด กตัญญูผู้มีบุญคุณ จึงมีคนอยากทำดีกับเขามากมาย ซึ่งต้องตามชดใช้บุญคุณกันไม่รุ้จบ
คนเจ้าปัญญา ยกระดับผู้มีบุญคุณให้สูงส่งขึ้น จึงทดแทนบุญคุณกันได้หมด และผู้มีพระคุณกลายเป็นหนี้บุญคุณ และพร้อมที่จะให้พระคุณที่ยิ่งกว่า เกิดวงจรการให้ และการรับที่พัฒนาต่อเนื่อง ทุกฝ่ายจึงได้ประโยชน์อย่างยิ่ง

ดอกไม้ประจำวันเกิด


เกิดวันอาทิตย์

ต้นไม้ประจำวันเกิด เป็นต้นพวงแสด ต้นพุทธรักษา ต้นธรรมรักษา และต้นเยอร์บีร่าที่มีดอกสีส้ม

ส่วนดอกไม้ประจำวันเกิด เป็นดอกกุหลาบสีส้ม จะถูกโฉลกกับเธอที่เกิดวันอาทิตย์

คนเกิดวันนี้มีนิสัยทะเยอทะยานและกระตือรือล้น เธอและดอกไม้มีความหมายถึงความฝันอันยิ่งใหญ่ ดอกไม้อีกชนิดสำหรับผู้เกิดวันนี้คือ ดอกทานตะวัน อันเป็นสัญลักษณ์คู่กับพระอาทิตย์เสมอ บอกถึงตัวเธอที่เชื่อมั่น หัวสูง ถือตัว และหยิ่งในศักดิ์ศรีด้วย


เกิดวันจันทร์

ต้นไม้ประจำวันเกิดของเธอคือ ต้นมะลิ ต้นแก้ว ต้นพุด ต้นจำปี ยิ่งถ้าปลูกแล้วออกดอกหอม เธอจะยิ่งโชคดี

ดอกไม้ประจำวันเกิด คือดอกมะลิขาวสะอาด หมายถึงตัวเธอที่มีความนุ่มนวลอ่อนโยน เรียบร้อย ส่วนดอกไม้อีกชิดคือ ดอกกุหลาบขาว หมายถึงความรักที่อ่อนโยนและไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทนเพราะคนวันจันทร์มักอ่อนไหวง่าย โรแมนติก และช่างฝัน

เกิดวันอังคาร

ต้นไม้ที่แสนดีของเธอคือ ต้นชัยพฤกษ์ ต้นชมพูพันธุ์ทิพย์ ต้นยี่โถ ออกดอกสีชมพู ต้นเข็มออกดอกสีชมพู ถ้าต้นไม้ของเธอออกดอกมากๆ บอกได้ว่าเธอกำลังมีความสุข

ดอกไม้ประจำวันเกิดของเธอคือ ดอกกล้วยไม้ โดยเฉพาะที่ออกดอกสีชมพู เพราะมีความหมายถึงความรักที่ร้อนรุ่ม หวือหวา วูบวาบตามอารมณ์ของคนที่เกิดวันนี้

เกิดวันพุธ

ต้นไม้ประจำตัวคนที่เกิดวันพุธนั้นพิเศษกว่าคนอื่นตรงที่เป็นต้นไม้ใบเขียว โดยเฉพาะต้นกระดังงา ต้นสนฉัตร ดังนั้นเธอควรปลูกต้นไม้เยอะๆ ถึงจะโชคดี ต้นไม้เหล่านั้นจะช่วยปกป้องคุ้มครองเธอได้ คือ ดอกบัว หมายถึงจิตใจอันสงบ เพราะคนที่เกิดวันพุธมักชอบเป็นนักการทูตและรัก สันติภาพ

ดอกไม้ประจำวันเกิด คือดอกบัว ซึ่งคนที่เกิดวันพุธมักจะเป็นนักคำนวณ (เงิน) สีเหลืองอร่ามราวกับทองของดอกไม้ชิดนี้ หมายถึงรักของเธอต้องมาพร้อมเงิน


เกิดวันพฤหัสบดี

ต้นไม้ประจำตัวคือ ต้นโสน ต้นราชพฤกษ์ และต้นบานบุรี หากมีต้นไม้เหล่านี้อยู่ในบ้านจะช่วยคุ้มครองดูแลเธอ

ดอกไม้ประจำวันเกิดของเธอคือ ดอกกุหลาบสีเหลือง หมายถึงการเปลี่ยนแปลงในเรื่องความรัก รักซ้อนซ่อนใจ เพราะคนที่เกิดวันนี้เป็นคนรักงายหน่ายเร็ว เจ้าชู้เล็กๆ ดอกไม้อีกชนิดหนึ่งคือดอกคาร์เนชั่นสีชมพู หมายถึงรักของเธอที่อ่อนโยนและอ่อนหวาน เธอที่เกิดวันนี้ จริงๆ แล้วเป็นคนสุภาพอ่อนโยนและมีอารมณ์ขัน น่ารักเหมือนดอกไม้ของเธอนั่นแหละ


เกิดวันศุกร์

ต้นไม้ที่แสนดีของคนที่วันศุกร์คือ ต้นพยับหมอก ต้นแส ต้นอัญชัน

ส่วนดอกไม้ของเธอคือ กุหลาบทุกสี เพราะคนที่เกิดวันศุกร์มักเป็นนักรักที่ยิ่งใหญ่มีเสน่ห์ล้นเหลือ หรือจะเป็นดอกไม้เจ้าเสน่ห์ที่มีความหมายหวานแหววแบบดอกไวโอแลตว่า "ฉันรักเธอแล้ว หากรักฉันก็บอกกันบ้างนะ" คนเกิดวันศุกร์บางอารมณ์ก็โลเล จึงได้ดอกลาเวนเดอร์ที่มีความหมายถึงรักที่สับสน ไม่แน่นอน ไปครองอีกดอกหนึ่ง


เกิดวันเสาร์

จะมีต้นไม้พวกต้นกัลปังหา ต้นพวงคราม ต้นอินทนิล เป็นต้นไม้ประจำวันเกิด

ดอกไม้ประจำวันเกิดคือ ดอกลิลลี่ อันหมายถึงรักครั้งแรก รักที่บริสุทธิ์เพราะคนที่เกิดวันเสาร์เป็นคนจริงจังและซีเรียส จึงรักใครยากหน่อย ทว่าดอกลิลี่เป็นดอกที่กระทบใจคนขี้เหงาวันเสาร์ได้ดีทีเดียว

ระบบเลขฐานและตรรกศาตร์

ระบบฐาน

คอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์ ที่ต้องอาศัยตัวเลขและหลักการทางคณิตศาสตร์ ในการสร้างข้อมูลและการประมวลผล ซึ่งระบบเลขฐานที่ใช้ในคอมพิวเตอร์ มี 4 ระบบ ได้แก่ ระบบเลขฐานสิบ ระบบเลขฐานสอง ระบบฐานแปด และระบบฐานสิบหก
1. ระบบเลขฐานสิบ (Decimal Numbering System)
ระบบเลขฐานสิบเป็นระบบที่ใช้อยู่ในชีวิตประจำวัน เช่น การนับจำนวนวัตถุ สิ่งของ หรือการนับจำนวนคน ระบบเลขฐานสิบใช้สัญลักษณ์ 10 ตัว ได้แก่ 0 1 2 3 4 5 6 7 8 9 โดยตัวเลข 0 แทนค่าที่น้อยที่สุด เลข 9 แทนค่ามากที่สุด และจะเพิ่มค่าทีละหนึ่ง 2 3 … จนครบ 10 ตัว

2. ระบบเลขฐานสอง (Binary Numbering SyStem)
ข้อมูลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลตัวเลข ตัวอักษร เสียง หรือรูปภาพนั้น เมื่อนำเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์ จะทำการเข้ารหัสหรือแปลงข้อมูลให้อยู่ในรูปเลขฐานสอง และประมวลผลเสร็จแล้วจึงทำการแปลงข้อมูลกลับมาในรูปแบบที่มนุษย์เข้าใจ ระบบเลขฐานสอง ประกอบด้วยสัญลักษณ์เพียง 2 ตัว คือ 0 และ 1
3. ระบบเลขฐานแปด (Octal Numbering System)
ระบบฐานสิบไม่มีสัญลักษณ์สำหรับเลข 10 ระบบเลขฐานสองไม่มีสัญลักษณ์เลข 2 ดังนั้นในระบบเลขฐานแปดจึงไม่มีสัญลักษณ์เลข 8 สรุปได้ว่า สัญลักษณ์ที่ใช้ในระบบเลขฐานแปด มีจำนวนทั้งสิ้น 8 ตัว ได้แก่ 0, 1, 2, 3, 4, 5, 6 และ7
4. ระบบเลขฐานสิบหก (Hexadecimal Numbering System)
ในระบบเลขฐานสิบหกมีสัญลักษณ์ที่ใช้ในระบบเลขฐานสิบหก จำนวน 16 ตัว ได้แก่ 0, 1,2,3, 4, 5, 6, 7, 8, 9, A, B, C, E, F
ตรรกศาตร์

สมัยก่อนบางครั้งเรียกคอมพิวเตอร์ว่า "สมองอิเล็กทรอนิกส์""เพราะมีความสามารถในการแก้ปัญหาได้ถูกต้องจนน่าประหลาด
ใจในความเป็นจริงแล้วคอมพิวเตอร์มิได้มีสิ่งใดที่เหมือนสมองมนุษย์ซึ่งแก้ปัญหาชนะคอมพิวเตอร์ได้อย่างง่ายดายเพราะบ่อยครั้งที่
คอมพิวเตอร์มิได้มีสิ่งใดที่เหมือนสมองมนุษย์ซึ่งแก้ปัญหาชนะคอมพิวเตอร์ได้อย่างง่ายดายเพราะบ่อยครั้งที่คอมพิวเตอร์มักจะสับสน
กับปริศนาทางตรรกศาสตร์อยู่เสมอพีชคณิตบูลีน(Boolean algebra)ช่วยให้เราแก้ปัญหาไปทีละขั้นจนได้ข้อสรุปที่ถูกต้องนี่ก็คือสิ่งที่
คอมพิวเตอร์ทำได้เร็วกว่ามนุษย์นับเป็นล้านๆเท่าวิศวกรให้ความสามารถด้านนี้แก่คอมพิวเตอร์โดยใส่กฎทางตรรกศาสตร์เข้าไปในวง
จรอิเล็กทรอนิกส์เรียกว่า "เกต" (gate)ซึ่งสวิตซ์สจะเปิดหรือปิดเมื่อสัญญาณเข้ามีการผสมผสานที่ถูกต้องการแสดงผลเชิงตัวเลขทำ
ได้โดยการเชื่อมโยงเกตเข้าด้วยกันภายใต้กฎเกณฑ์ที่กำหนด

มิตรภาพ ระหว่างเพื่อน

10 ข้อดีของเพื่อน
1. เพื่อน . . . ให้คุณซบไหล่ยามที่คุณร้องไห้ได้

2. เพื่อน . . . กำจัดความกลัวและความผิดหวังของคุณ และให้คำแนะนำที่เหมาะสม

3. เพื่อน . . . เคารพคุณด้วยความชื่นชมในสติปัญญา และความมีเสน่ห์ของคุณ และปฎิบัติต่อคุณเป็นอย่างดี

4. เพื่อน . . . ทำให้คุณรู้สึกพิเศษในโอกาสที่สำคัญอย่างเช่นวันเกิดคุณ

5. เพื่อน . . . เป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่คุณในการเป็นเพื่อน เพื่อคุณจะนำไปปฏิบัติกับเพื่อนร่วมงาน และเป็นเพื่อนที่ดีของคนอื่นๆ อีก

6. เพื่อน . . . ช่วยเหลือคุณจากพวกที่เข้ามาคุยกับคุณ แบบไม่ยอมเลิกในงานปาร์ตี้

7. เพื่อน . . . ไม่สนใจว่า บนใบหน้าคุณจะมีตุ่มหรือแผลเป็นในยามที่คุณยังไม่ได้แต่งหน้า

8. เพื่อน . . . ให้คุณเล่นแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าของเธอ

9. เพื่อน . . . ช่วยคุณเลือกซื้อหมวก เมื่อผมทรงใหม่สร้างความหายนะ

10. เพื่อน . . . พูดอย่างตื่นเต้นว่า "เราชอบหนังเรื่องสั้น" เวลาคุณแนะนำให้เธอไปเช่าวิดีโอเรื่องที่คุณชอบดูซ้ำซากมาดูอีกครั้ง

หากคุณและเพื่อนเริ่มรู้สึกถึงความห่างเหินและรู้สึกไม่ดีต่อกัน ควรจะนัดพบและหากิจกรรมทำร่วมกันอย่าง เช่น
1. หาซื้อรองเท้า (เธอไม่ห้ามคุณซื้อรองเท้าสีดำอีกคู่หรอก)

2. หาร้านนั่งจิบกาแฟ

3. ดูหนังแบบมาราธอนด้วยกัน

4. มานอนค้างคืนกันที่บ้าน นั่งทาเล็บกันแล้วหาขนมคบเคี้ยวกินแก้เซ็ง

5. เข้าร้านทำผม แล้วก็นั่งคุยเล่นกันระหว่างเสริมสวย



สิ่งที่รักษามิตรภาพไว้
1. การเคารพกัน

2. เสียงหัวเราะ

3. การโกหกเพื่ออีกฝ่าย

4. นั่งกินจังค์ฟู้ดกัน

5. ชื่นชมกันและกัน

6. อดทน

7. กอดกันบ่อยๆ


ไม่มีข้ออ้างที่จะทิ้งเพื่อน ไม่ว่ากรณีใดๆทั้งสิ้น หมั่นติดต่อกันเสมอๆ โดย

1. ไปเล่นกีฬาหรือออกกำลังกายด้วยกัน เช่น ชวนกันไปตีเทนนิสหรือเข้าคอร์สฟิตเนสหลังเลิกงาน

2. ไปจิบกาแฟกันในวันหยุดสุดสัปดาห์

3. หาโปรแกรมหนังดีๆ ดูด้วยกัน สัก 2 ครั้งต่อเดือน

4. ส่งอีเมล์หรือบัตรอวยพรเขียนว่า "คิดถึงเธอจัง" ไปให้เพื่อน

5. กดโทรศัพท์มือถือไปทักทายเมื่อยามรถติด

6. ทำอาหารรับประทานด้วยกัน

มิตรภาพระหว่างเพื่อนยังมีอีกมากมายที่เพื่อนมีให้เพื่อน . . . อย่าให้ความรู้สึกเพียงเล็กน้อยมาทำลายมิตรภาพระหว่างคำว่าเพื่อนของเราเลย . . . เพื่อนยังไงก็คือเพื่อน โกรธกันอย่างไรก็ยังเป็นเพื่อน เพราะมิตรภาพระหว่างเพื่อน เปรียบเสมือนเส้นสายใย หล่อเลี้ยงทั้งกายใจ มั่นคงไว้แสนยาวนาน อาจจะโกรธกันบ้าง แต่สุดท้ายความเป็นเพื่อนของเราก็จะยังคงอยู่ต่อไป ^-^

บันได 5 ขั้น สู่ชีวิตมีค่าและมีความสุข


บันไดขั้นที่ 1 มองตัวเองว่าดีและมีค่าทุกวัน

ในแต่ละวันให้นึกถึงความดี และความโชคดีของตนเอง เริ่มต้นด้วยการตื่นนอนตอนเช้า ให้ยิ้มกับตัวเอง และนึกว่าโชคดีที่ได้ตื่นขึ้นมาแล้ว ให้นึกถึงความดีของตนเองที่เคยทำมาแล้วในอดีต (ที่สามารถนึกได้ง่าย ๆ) เช่น เคยทำบุญ เคยช่วยคนที่อ่อนแอกว่า เคยสงเคราะห์สัตว์ ฯลฯ คิดว่าตัวเองดี และมีคุณค่าที่ได้เคยทำสิ่งดี ๆ และให้นึกซ้ำ ๆ จะได้เกิดความเชื่อตามที่นึกนั้น คุณก็จะเกิดความอิ่มเอิบใจ และเชื่อว่าตัวเองมีความดี ความเก่ง ตามความเป็นจริงในขณะนั้นด้วย คุณจะเกิดความอยากมีชีวิตอยู่ และสร้างสิ่งที่ดี ๆ ให้กับชีวิตต่อไป และต้องอวยพรตัวเองเสมอ ๆ อย่าแช่ง หรือตำหนิตัวเอง และอย่ารอให้คนอื่นมาชื่นชมคุณ ซึ่งมักจะไม่ได้ดั่งใจ หรือได้มาก็ไม่สมใจ

บันไดขั้นที่ 2 มองคนอื่นดี มองโลกในแง่ดี

ขั้นนี้คุณจะต้องมองว่าทุก ๆ คน มีขีดจำกัดของความสามารถ ความดี ความเก่งกันทุกคน ตามความเป็นจริงของเขา ซึ่งไม่เท่ากัน และไม่เหมือนกันเลย ส่วนความไม่ดี หรือไม่เก่งของเขา (ซึ่งมีกันทุกคน) ปล่อยให้เป็นเรื่องของเขาไป ให้มองเฉพาะส่วนที่ดีของเขาเท่านั้น ถ้าคุณทำได้เช่นนี้ คุณก็จะเป็นคนที่มองอนาคน และชีวิตดี มีความหวังที่ดีในชีวิตตลอดเวลา สองสิ่งนี้ ถ้าคุณทำเป็นนิสัย คุณจะพบว่า โลกนี้มีสิ่งที่ดี ๆ และไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคต่าง ๆ และท้ายที่สุดก็จะกลายเป็นสุขนิยมทั้งชีวิต


บันไดขั้นที่ 3 ทำวันนี้ให้ดีที่สุด

คือการอยู่กับปัจจุบัน ทำกิจกรรมในวันนี้และเวลานี้ให้ดีที่สุด ทำได้แค่ไหนเอาแค่นั้น ไม่ทุกข์ร้อน หรือคาดหวังกับผลลัพธ์ของมัน ไม่ว่าจะสมใจ หรือไม่สมใจก็ตาม จงชื่นชมในความตั้งใจทำเต็มความสามารถของตนเอง และคิดต่อว่า ในอนาคตจะต้องทำให้ดีกว่านี้ นอกจากนั้น คุณต้องเลิกจดจำ หรือนึกถึงเรื่องที่ไม่ดีที่เกิดกับคุณในอดีต เพราะการจดจำเรื่องราวที่ไม่ดีในอดีต เท่ากับคุณไปสะกิดแผลในใจ และจะทำให้คุณเจ็บปวดมากยิ่งขึ้น จนส่งผลให้ปัจจุบันคุณไม่มีความสุข และกลัวว่าอนาคตจะเกิดสิ่งที่ไม่ดีซ้ำ ๆ อีก
บันไดขั้นที่ 4 มีความหวังและเชื่อว่าอนาคตจะดีเสมอ

ความหวัง ความเชื่อ เกิดจากความคิดถึงบ่อย ๆ หรือได้ยินบ่อย ๆ จงนึกและบอกกับตัวเองเสมอว่า อนาคตจะดีขึ้นอีกเรื่อย ๆ จะส่งผลให้เกิดกำลังใจมากขึ้น อยากพบเห็นสิ่งต่าง ๆ ที่จะเข้ามาในชีวิตโดยไม่กลัว มีอารมณ์ขัน และไม่จริงจังกับชีวิตมากนัก แต่จะมีความหวังที่ดี ๆ (Good Hope) อยู่เสมอ แต่อย่ามีความคาดหวัง (Expectation) กับชีวิต เพราะถ้าคาดหวังกับชีวิต เรามักจะกลัว หรือกังวลว่าจะไม่ได้ผลลัพธ์ดังความคาดหวัง หรือเมื่อได้มาแล้วก็มักไม่พอใจ จึงอาจทำให้เกิดทุกข์ได้

บันได้ขั้นที่ 5 ปรับปรุงตัวเองเสมอ

โดยปรับปรุง 4 ส่วนที่มีความสำคัญต่อชีวิตคือ

1. การงาน ให้มีความขยัน อดทน หมั่นหาความรู้ใส่ตัว และกล้าลงมือปฏิบัติในสิ่งที่ควรทำ จะทำให้มีการลงมือทำสิ่งใหม่ ๆ ในชีวิตได้เรื่อย ๆ และปรากฏเป็นผลงานที่ชัดเจน

2. ครอบครัว จะต้องยึดหลักที่เป็นมงคลต่อกันคือ ไม่อิจฉา ไม่ระแวง ไม่แข่งขัน ไม่นอกใจ รู้จักการให้และการอภัย มีน้ำใจ และรู้จักเกรงใจกัน

3. สังคม หมั่นสร้างมิตรเสมอ มีการให้ความสำคัญกัน ให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และพูดจากันแบบปิยะวาจา

4. ตนเอง ต้องมีการพัฒนาตนเองเสมอ มีความภูมิใจตนเองตามความเป็นจริง สามารถให้กำลังใจตัวเองได้ และมีกำลังใจที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลงตนเองไปในทางที่ดีขึ้น